วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การรักษาท้องทะเล

 
 
 
 
    ทะเลของเราทุกวันนี้กำลังตกอยู่ในปัญหา ประชากรปลาของโลกลดลงไปถึงเกือบร้อยละ 90 ปะการังทั่วโลกตายไปถึงหนึ่งในสาม เขตมรณะในมหาสมุทธ หรือ Dead Zone ขยายพื้นที่ไปตามบริเวณต่างๆ ทั่วโลก แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะอยู่ในขั้นวิกฤติ แต่ก็ยังมีอีกหลายๆ เหตุผลที่ทำให้มนุษยชาติยังคงมีความหวังในการที่จะหาทางแก้ไขปัญหา และกู้มหาสมุทรของเรากลับคืนมา OSTC ขอนำเสนอ บทความชุด “7วิธี รักษาท้องทะเลเพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงปัญหา และวิธีการแก้ไข ก่อนที่จะเสียทรัพยากรทะเลอย่างไม่มีวันย้อนคืนกลับมา
 
 
      
1. หยุดเติมสารพิษลงสู่ท้องทะเล
 
     มลภาวะทางทะเลมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่น้ำมันหลายล้านแกลลอนที่รั่วไหลมาจากถนนหนทาง จนถึง
แพขยะใหญ่แปซิฟิก (Great Pacific Garbage Patch) แต่มลพิษที่เลวร้ายที่สุดคือ ก๊าซไนโตรเจน
และสารฟอสฟอรัสที่มาจากปุ๋ยและสิ่งปฏิกูล เมื่อก๊าซและสารเหล่านั้นถูกชะล้างไหลลงสู่ทะเลชายฝั่ง
สาหร่ายทะเลเมื่อได้รับก๊าซและสารเหล่านั้นก็จะเติบโตอย่างหนาแน่น เมื่อสาหร่ายตายและย่อยสลาย
ก๊าซออกซิเจนในน้ำจะถูกดึงนำมาใช้ และทำให้สัตว์น้ำขาดออกซิเจนและตายไป ปรากฏการณ์นี้มี
ชื่อว่าปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีหรือ “Eutrophication” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดเขต
มรณะอย่างน้อย 450 แห่งทั่วโลก
     สิ่งปฏิกูลจากมนุษย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในประเทศที่กำลัง
พัฒนา แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป และสาธารณะรัฐประชาชนจีน สิ่งปฏิกูล
จากสัตว์และปุ๋ยเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เฉพาะในเขตสหรัฐฯ ไก่จำนวน 10 ล้านตัว โค 80 ล้านตัว
และสุกร 149 ล้านตัว ผลิตมูลสัตว์จำนวน 500 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์อีก
55 ล้านตัน ปฏิกูลและปุ๋ยเหล่านี้จะถูกชะล้างลงสู่พื้นที่ลุ่ม ผลที่เกิดขึ้นคือเขตมรณะที่ใหญ่ที่สุด
ของโลกเริ่มแผ่ขยายจากปากแม่น้ำมิซซิสซิปปี้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงฤดูเกษตรกรรม
ในเขตตะวันออกกลางของสหรัฐฯ เขตมรณะอาจจะขยายใหญ่ได้เท่ากับรัฐนิวเจอร์ซีย์
(22,500 ตารางกิโลเมตร)

     ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีสามารถผันกลับได้ ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ทะเลดำ (The
Black Sea) เป็นบริเวณเขตมรณะที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย
เกษตรกรในเขตประเทศเหล่านั้นไม่สามารถที่จะหาซื้อปุ๋ยสังเคราะห์ได้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙
เขตมรณะได้หายไปโดยสิ้นเชิง

     กระบวนการผันกลับเดียวกันสามารถเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีประเทศใดล่มสลาย การพัฒนาระบบ
บำบัดน้ำเสีย และข้อจำกัดต่างๆ ในการใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์สามารถช่วยได้ อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วย
ได้มากคือการไถพรวน ในช่วงเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา เกษตรกรได้ใช้วิธีการทำการเกษตร
แบบไม่ต้องไถพรวน (No-till method) ในเขตพื้นที่เกษตรกรรมร้อยละ 36 ของพื้นที่ทั้งหมดในสหรัฐฯ
เกษตรกรปล่อยให้โคนต้นไม้และรากไม้จากฤดูเกษตรในปีก่อนไว้ในพื้นที่ จากนั้นหว่านเมล็ดพืชด้วย
เครื่องหว่านเมล็ดพืชรุ่นใหม่ และฝั่งปุ๋ยใต้ผิวดินด้วยเครื่องฉีดปุ๋ยแบบใหม่ ด้วยวิธีนี้ เกษตรกรช่วยลด
ปริมาณการปล่อยสารฟอสฟอรัสถึงร้อยละ 40 ก๊าซไนโตรเจนถึงร้อยละ 98 ประหยัดการใช้พลังไปได้
ถึงครึ่งหนึ่ง โดยที่ได้ผลทางการเกษตรเช่นเดิม David R. Montgomery ผู้เขียนหนังสือชื่อ
Dirt: The Erosion of Civilizations กล่าวว่าอย่างไรก็ตาม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงแค่ร้อยละ 5 ของ
พื้นที่ทั้งหมดในโลกใช้วิธีการเกษตรแบบไม่ต้องไถพรวน คงจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ หากมีการนำการ
เกษตรกรรมวิธีนี้ไปใช้ในพื้นที่ที่เหลือ

2. เพิ่มราคาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
     เมื่อสองศตวรรษที่ผ่านมา คุณสมบัติทางเคมีของมหาสมุทรมีการเปลี่ยแปลงในหลายๆ ด้าน เช่น
น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้นถึงร้อยละ 30 ถึงแม้ว่าจะไม่มากพอที่จะเผาไหม้ผิวหนังของมนุษย์
(ซึ่งก็เป็นไปได้ในอีกไม่นานนี้) แต่น้ำทะเลก็มีความเป็นกรดมากพอที่จะกัดกร่อนกระดองหรือ
เปลือกแข็งของสัตว์ทะเลหลายๆ ชนิด ซึ่งส่งผลร้ายแรงแก่ระบบนิเวศน์ทางทะเลทั้งหมด
     ตัวอย่างผลกระทบดังกล่าว เช่น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ Pteropods หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
จำพวกหอยกาบเดี่ยวซึ่งเป็นสัตว์สำคัญในห่วงโซ่อาหารของมหาสมุทรแถบขั้วโลกมีเปลือกที่บาง
ลงอย่างชัดเจน จากการทดลอง เปลือกของ Pteropods จะหายไปโดยสิ้นเชิงหากน้ำทะเลมีความ
เป็นกรดมากกว่านี้ ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์พบว่าในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตกเฉียง
เหนือมีความเป็นกรดและส่งผลกระทบรุนแรงแก่ไข่ของหอยนางรม และแน่นอนหากน้ำทะเลมีความ
เป็นกรดมากขึ้นๆ พันธุ์ปลา ระบบนิเวศน์และปะการังที่กำลังจะสูญพันธุ์อื่นๆ ก็จะเป็นรายต่อไป

     สาเหตุที่ทำให้น้ำทะเลเป็นกรดเป็นสิ่งที่เราทราบกันดี ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น
มหาสมุทรได้ดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่าหนึ่งในสี่ส่วนของก๊าซทั้งหมดที่มนุษย์ปล่อยไป
ยังบรรยากาศ เดิมที พวกเราคิดว่าการที่มหาสมุทรช่วยดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเรื่องที่ดี
ช่วยต่อเวลาในการเกิดภาวะโลกร้อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะต้องชดเชยกับเวลาที่เราได้มา
เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผสมกับน้ำทะเลจะทำให้เกิดกรดคาร์บอนิก (Carbonic acid)
ครั้งเกิดภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 65 ปีที่แล้ว เป็นครั้งหลังสุดที่มหาสมุทรถูกทำให้มีความเป็นกรดอย่าง
รุนแรง แต่ถึงกระนั้น พันธุ์สัตว์ต่างๆ ที่รอดชีวิต มีเวลาเป็นร้อยปีในการปรับตัว ซึ่งเป็นเวลาที่
มากมายกว่าเวลาที่สัตว์ทะเลในยุคปัจจุบันมี หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น

    ไม่มีทางออกที่ง่ายสำหรับปัญหานี้ วิศวกรทางธรณีได้เสนอให้มีการใส่หินปูนจำนวน 300 พันล้าน
ลูกบากศ์ฟุตลงในมหาสมุทร เปรียบเสมือนการให้ยาลดกรดจำนวนมหาศาลแก่ทะเล แต่การที่จะทุ่ม
เงินและกำลังผลิตเพื่อผลิตหินปูนจำนวนมากขนาดนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ การแก้ไขปัญหาด้วยวิธี
ดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบข้างเคียง และอาจจะส่งผลดีเพียงชั่วคราวเท่านั้น แล้วอะไรคือ
ทางรักษาที่ดีที่สุด? คำตอบคือการลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ปัญหาคือแม้ว่า
ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการออกรหัสภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ
พลังงานที่ได้จากการเผาฟอสซิลก็ยังมีราคาที่ถูกกว่า ราคาที่ถูกกว่านี้ ไม่คำนวนถึงความเสียหายของ
สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย
     เราควรมีวิธีการคำนวณราคาที่แท้จริงอย่างไร? Hauke Kite-Powell นักวิจัยจาก Woods Hole
OceanographicInstitution ในรัฐ Massachusetts กล่าวว่า การคำนวนภาษีการปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นวิธีที่น่าสนใจหากกำหนดให้ผู้ประกอบการจ่ายเงินค่าปรับเป็นจำนวน
12.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 1 ตัน จะสามารถช่วยลด
การปล่อยก๊าซดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 30 หรือช่วยลดปริมาณสารพิษที่จะถูกปล่อยลงมหาสมุทร
ได้ถึง 214 ล้านตัน แม้ว่าการลดปริมาณการปล่อยสารพิษนี้ไม่สามารถหยุดกระบวนการเพิ่มความ
เป็นกรดของน้ำทะเลได้ แต่เป็นการซื้อเวลาซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการอย่างมากในขณะนี้ให้กับท้องทะเล
และให้กับมนุษย์ชาติ

3. ซ่อมแซมวัฏจักรของน้ำ
     วัฏจักรของน้ำคือการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากการระเหยของน้ำทะเล (หรือแหล่งน้ำอื่นๆ) จากนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน และระเหยกลับเป็นไออีกครั้ง เมื่อสภาวะอากาศของโลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นวัฏจักรของน้ำก็มีความเข้มข้นมากขึ้น พื้นผิวของมหาสมุทรทั่วโลกมีเข้มข้นของเกลือมากขึ้น ทำให้การกำเนิดฝนขาดความสมดุล ไอระเหยของน้ำส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจะกลายเป็นฝนและตกในพื้นที่ที่มีความชื้นมากพออยู่แล้ว เช่น พื้นที่ป่าเขตร้อน และแถบสแกนดิเนเวีย ส่งผลให้เกิดพายุที่รุนแรงขึ้นและน้ำท่วมถี่มากขึ้นในเขตดังกล่าว ในขณะเดียวกันบริเวณทางเหนือและทางใต้ของพื้นที่เขตร้อนซึ่งเป็นบริเวณที่ค่อนข้างมีความเข้มข้นของเกลือมากกว่าบริเวณอื่นๆ อยู่แล้ว จะมีความเข้มข้นของเกลือมากขึ้นๆ และมีอุณหภูมิสูงขึ้น พื้นที่ที่มีความเข้มข้นของเกลือมากๆ เช่น พื้นที่ทะเลทราย ซึ่งเป็นบริเวณที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จะขยายบริเวณกว้างมากขึ้น

     ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเพื่อแก้ไขปัญหาความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของวัฏจักรน้ำ กลวิธีหนึ่งที่มีการดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือ Ocean Thermal Energy Conversion (OTEC) โดยในปี 1970 วิศวกรกลุ่มหนึ่งได้นำเอาแท่นขุดเจาะ (Platform-based rig) ดูดนำเอาน้ำทะเลลึกที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ขึ้นมายังบริเวณผิวน้ำซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่า ด้วยความแตกต่างของอุณหภูมิของน้ำทะเลทั้งสองตำแหน่งทำให้เครื่องจักรความร้อน (Heat Engine) ทำงานและก่อให้เกิดพลังงาน การนำกลวิธี OTEC ไปใช้ในวงกว้างอาจจะส่งผลเชิงบวกในการช่วยลดอุณหภูมิของน้ำทะเลในบริเวณนั้นๆ Ray Schmitt นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นว่าหากเราสามารถลดอุณหภูมิของน้ำทะเลได้ เราอาจจะช่วยทำให้วัฏจักรของน้ำมีความเข้มข้นลดลงได้บ้างความพยายามในการทำวิจัยเกี่ยวกับเทคนิค OTEC หยุดชะงักลงหลังจากที่โรงงานสาธิตปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2541 แต่ในขณะนี้ โครงการดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการรื้อฟื้น โดยในปี พ.ศ. 2552 กองทัพเรือของสหรัฐฯ ได้ให้เงินทุนสนับสนุนแก่ Lockheed Martin เป็นจำนวน 12.5 ล้านเหรียญเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโรงงาน OTEC ในเขตหมู่เกาะฮาวายเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า นอกจากนั้นยังมีแผนการระดับนานาชาติโดยการเริ่มสร้างโรงงานดังกล่าวในเขต Tahiti

    การดึงเอาน้ำทะเลลึกขึ้นมาสู่ผิวน้ำในเขตมหาสมุทรบริเวณที่มีความเข้มข้นของเกลือสูง อาจจะช่วยให้เกิดพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์และเหมาะกับสิ่งมีชีวิต ในปี พ.ศ. 2545 นักวิจัยจาก Tohoku University ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มทดสอบโครงการ “Perpetual Salt Fountain” หรือการนำเอาท่อที่ช่วยขนถ่ายน้ำที่มีความเข้มข้นของเกลือน้อยกว่าจากทะเลน้ำลึก มาสู่บริเวณพื้นผิวทะเลซึ่งมีความเข้มข้นของเกลือมากกว่า เมื่อน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิต่ำไหลเข้าสู่ฐานของท่อ ก็จะเริ่มอุ่นขึ้นและดันตัวขึ้นที่สูง ในระหว่างที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น น้ำทะเลยังคงรักษาความอุดมสมบูรณ์ที่ช่วยในการเติบโตของสารคลอโรฟิลล์และแพลงก์ตอนพืช ในโครงการดังกล่าว นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้ใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นท่อ PVC ความยาว 984 ฟุต และมีการติดตั้งอุปกรณ์ GPS กับท่อดังกล่าว การวิจัยถูกจัดทำที่เขต Mariana Trench ในมหาสมุทร Pacific ผลการทดสอบในเบื้องต้นให้ความหวังแก่มนุษยชาติ Shigenao Maruyama ผู้นำของกลุ่มนักวิจัยกล่าวว่า บริเวณรอบๆ ท่อของโครงการ เราพบคลอโรฟิลล์ในปริมาณมาก มากกว่าในน้ำทะเลในบริเวณรอบนอกของเขตการวิจัยถึงกว่า 100 เท่าแม้ว่าวิธีการนี้เป็นเพียงการชะลอเวลาการเกิดปรากฎการณ์โลกร้อนมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ แต่ Maruyama ก็ให้ความคิดเห็นเชิงบวกว่าวิธีการนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับท้องถิ่น และมีการวางแผนการทดลองใช้กลยุทธ์ดังกล่าวในพื้นที่ทะเลเปิด

4. หยุดยั้งพันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุก
ภาพ Tunicate

     ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ถ้าคุณดึงเชือกที่แช่อยู่ในน้ำบริเวณท่าเรือชายฝั่งของแหลม Cape Cod คุณจะพบหอยแมลงภู่ เพรียง และสาหร่ายเกาะติดขึ้นมากับเชือกเป็นจำนวนมาก แต่ในวันนี้ คุณจะพบเพียงแค่เพรียงจำพวกไม่มีกระดูกสันหลัง หรือ  Tunicate เกาะอยู่รอบๆ เชือกเท่านั้น Tunicate เป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่กำลังบุกรุกไปยังท้องทะเลทั่วโลก สัตว์จำพวกนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกโดยการติดไปกับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ นอกจาก Tunicate แล้ว พันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุกยังมี Lionfish ที่พบได้มากตามเขตตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐฯ และ Mangrove tree ในหมู่เกาะฮาวาย พันธุ์พืชและสัตว์จำพวกนี้กำลังก่อปัญหาให้กับพันธุ์พืชและสัตว์ท้องถิ่น ทั้งในด้านการแย่งชิงแหล่งอาหาร การรบกวนระบบการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตในเขตนั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสัตว์และพืชท้องถิ่น
     Tunicate เป็นตัวอย่างชัดเจนของพันธุ์สัตว์ผู้บุกรุกที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม Mary Carman นักวิจัยจากสถาบัน  Woods Hole กล่าวว่า มีการค้นพบการแพร่กระจายพันธุ์สัตว์ประเภทนี้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 ที่เขต New England ประเทศสหรัฐฯ โดยผ่านเรือขนส่งสินค้าของประเทศญี่ปุ่น Tunicate บางสายพันธุ์บุกรุกแนวหญ้าทะเลและขับไล่หอยเชลล์ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจหลักของท้องถิ่นนั้นออกไปจากพื้นที่ การกำจัด Tunicate เป็นไปได้ยาก เพราะหากไม่สามารถกำจัด Tunicate ออกไปจากพื้นที่ได้อย่างสิ้นเชิง Tunicate ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็สามารถเติบโตและแพร่กระจายต่อได้อย่างรวดเร็ว
     Jame Carlton จาก Williams College กล่าวว่า การระงับการแพร่กระจายของสัตว์จำพวกนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากๆ แม้ในบางครั้งที่การแพร่กระจายถูกค้นพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งก็มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การกำจัด Tunicate ยังทำได้ยาก ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2543 นักประดาน้ำคนหนึ่งได้สังเกตุพบพันธุ์สาหร่ายผู้บุกรุกที่เพิ่งถูกทิ้งลงไปในทะเลสาปของเขต San Diego ประเทศสหรัฐฯ ผู้รับผิดชอบต้องใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6 ปี และงบประมาณอีกจำนวน 7 ล้านเหรียญสหรัฐในการกำจัดพันธุ์สาหร่ายผู้บุกรุกไปได้
     วิธีลดปริมาณพันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุกที่ดีที่สุดสามารถทำได้โดยการป้องกันไม่ให้พันธุ์พืชและสัตว์เหล่านั้นเข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่ตอนแรก โดยส่วนมากพันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุกจะติดมากับน้ำใต้ท้องเรือขนส่งสินค้าที่เดินทางมายังประเทศสหรัฐฯ จำนวนประมาณ 1 แสนลำในทุกๆ ปี ในตอนนี้  EPA และ Coast Guard  กำลังร่างเกณฎ์บังคับเกี่ยวกับน้ำใต้ท้องเรือ โดยการกำหนดระดับจำนวนพันธุ์สัตว์และพืชที่ติดมากับน้ำใต้ท้องเรือ ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ ก็กำลังพัฒนาวิธีการจัดการกับน้ำใต้ท้องเรือเพื่อให้ผ่านเกณฎ์มาตรฐานดังกล่าว ตัวอย่างวิธีการจัดการ เช่น การใช้เครื่องกรองน้ำที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และการฉายรังสีอัลตราไวโอเลต แต่สำหรับพืชและสัตว์ผู้บุกรุกที่ตั้งรกรากแล้ว สิ่งที่ทำได้คือการจำกัดจำนวนของพืชและสัตว์นั้นๆ การบริโภคพืชและสัตว์นั้นๆ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง โดยในปี พ.ศ. 2552 The National Oceanic and Atmospheric Administration ได้จัดทำโครงการส่งเสริมให้ชาวประมงและผู้ประกอบธุรกิจอาหารนำ Lionfish มาปรุงเป็นอาหาร

5. ปกป้องแนวปะการัง



     ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แนวปะการังจำนวนถึงหนึ่งในสามของปริมาณทั้งหมดทั่วโลกถูกทำลายไป ปะการังในเขตชายฝั่งของประเทศศรีลังกา ประเทศแทนซาเนีย ประเทศเคนยา สาธารณะรัฐมัลดีฟ และสาธารณะรัฐเซเชลส์ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ถ้าหากมหาสมุทรมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นอีก 7 องศาฟาเรนไฮต์ในอีก 3 ทศวรรษข้างหน้าตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ ร้อยละ 95 ของแนวปะการังจะหายไป สาเหตุหลักของการตายของปะการังคือปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว เมื่ออุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นเชื้อแบคทีเรียในน้ำขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วและทำลายสาหร่ายทะเลที่อาศัยและมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงซึ่งกันและกันกับปะการัง โดยสาหร่ายทะเลจะเปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานซึ่งอยู่ในรูปของน้ำตาลให้กับปะการังซึ่งเป็นพืชผู้ให้อาศัย ดังนั้น เมื่อสาหร่ายตายไป ก็จะเหลือแต่ปะการังที่ขาวซีด

     ปะการังบางสายพันธุ์ใน Red Sea และ ใน Persian Gulf สามารถรอดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้ แม้ว่าจะไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่ Eugene Rosenberg นักวิทยาศาสตร์จุลชีววิทยาจาก Tel Aviv University ได้เสนอความคิดว่า แบคทีเรียที่แตกต่างสายพันธุ์ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ปะการังมีแบคทีเรียหลากหลายพันธุ์อาศัยอยู่ภายในเช่นเดียวกับร่างกายของมนุษย์ แบคทีเรียบางประเภทช่วยให้ปะการังปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้

     เมื่อน้ำทะเลใน Red Sea มีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 77 องศาฟาเรนไฮต์ แบคทีเรียที่ไม่ใช่สายพันธุ์ท้องถิ่นที่มีชื่อว่า Vibrio Coralliilyticus จะเข้าจู่โจมสาหร่ายในปะการังบางสายพันธุ์ แต่ในขณะเดียวกัน น้ำในอุณหภูมิที่เท่ากันอาจจะกระตุ้นให้แบคทีเรียในปะการังบางประเภทมีปฏิกริยาที่ช่วยปกป้องสาหร่าย นี่อาจจะช่วยอธิบายได้ว่าทำไมปะการังบางชนิดถึงไม่ถูกฟอกขาวในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง

     ขณะนี้ Rosenberg และทีมนักวิจัยกำลังพยายามศึกษาค้นคว้าหาวิธีกระตุ้นระบบป้องกันตัวให้กับปะการัง วิธีหนึ่งคือการปล่อยไวรัสที่จู่โจมแบคทีเรีย Vibrio Coralliilyticus ซึ่งผลจากห้องทดลองพบว่าไวรัสดังกล่าวสามารถทำลายแบคทีเรียฟอกขาวได้อย่างรวดเร็ว และไวรัสชนิดนี้จะยังตกค้างอยู่ในปะการังอีกประมาณ 2 เดือนก่อนที่จะตายไปหากไม่มีอาหาร

     ในช่วงฤดูร้อนนี้ แนวปะการังในเขต Great Barrier Reef และ Red Sea เป็นเป้าหมายของการเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาว Rosenberg จะเริ่มใช้วิธีการรักษาด้วยการปล่อยไวรัส หากผลที่ตามมาเป็นเช่นเดียวกับที่ได้ในห้องทดลอง ไวรัสที่ถูกปล่อยไปจะเข้าไปเกาะติดกับแบคทีเรียฟอกขาว เมื่อแบคทีเรียฟอกขาวเริ่มกัดกินปะการัง ไว้รัสก็จะเริ่มขยายพันธุ์ถึง 100 เท่าและจะเริ่มเกาะกินแบคทีเรียผู้ให้อาศัย

     หากการทดลองครั้งนี้สำเร็จ ครั้งต่อไปจะเป็นการปฏิบัติในวงกว้างมากขึ้น โดย Rosenberg กล่าวว่าด้วยของเหลวประมาณ 13 แกลลอนที่ผสมกับไว้รัสจำนวน 4 ล้านตัวต่อแกลลอน เขาก็จะสามารถรักษาปะการังได้เป็นพื้นที่ถึง 30 ไมล์ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

6. จับปลาอย่างฉานฉลาด
     ในปีที่ผ่านมา ยอดการบริโภคปลาทั่วโลกอยู่ที่เฉลี่ย 37.5 ปอนด์ หรือ 16.98 กิโลกรัมต่อคน ต่อปี ในขณะที่ปริมาณของปลาคอดและปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Bluefin Tuna) มีปริมาณลดลง สัตว์จำนวนมากตั้งแต่ปลาวาฬจนถึงเต่าทะเล ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ความต้องการในการบริโภคปลาของมนุษย์หาใช่ปัญหาไม่ แต่ปัญหาคือชาวประมงจับสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ขึ้นมาด้วยโดยที่ไม่ได้เจตนา (Bycatch) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการทำการประมงเพื่อการค้า สัตว์อื่นๆ ที่ถูกจับขึ้นมาด้วย เช่น ปะการัง ฟองน้ำ (สัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่ไม่มีกระดูกสันหลัง) ปลาดาว ฉลาม ปลาวาฬ เต่า หรือแม่กระทั่งนก การจับสัตว์อื่นๆ ติดมาด้วยเช่นนี้ ส่งผลให้สัตว์หลายๆ ชนิดใกล้ภาวะสูญพันธุ์ รายงานฉบับหนึ่งจาก United Nation รายงานว่ามีจำนวนสัตว์ที่ถูกจับขึ้นมาโดยไม่ได้เจตนามากถึง 7.5 ล้านตันต่อปี หรือเทียบได้กับร้อยละ 5 ของการจับปลาเพื่อการค้าทั้งหมด นอกจากนี้ การรายงานปริมาณ Bycatch เป็นรายงานที่ผู้ประกอบการจัดทำและส่งให้ทางการเอง ดังนั้น ตัวเลขที่ปรากฏอยู่ในรายงานหลายๆ ฉบับเป็นการรายงานที่ไม่ตรงกับความจริง เช่น การจับกุ้งที่อ่าวเม็กซิโก แท้จริงแล้วมีปริมาณ Bycatch มากถึง 5 ปอนด์ในการจับกุ้งทุกๆ 1 ปอนด์

     ข่าวดีในขณะนี้ก็คือ มีการนำเอาเทคโนโลยีการจับปลาใหม่ๆ มาใช่เพื่อลดปริมาณของ Bycatch เช่น บริษัทที่จับกุ้งหลายๆ แห่งใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Turtle-Excluding Devices ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันไม่ให้เต่าทะเลหลงเข้ามาในอวนสำหรับจับกุ้ง ที่ Florida Atlantic University รองศาสตราจารย์ Stephen Kajiura ได้พยายามปกป้องฉลามโดยการใส่ธาตุที่หายากบางชนิดไว้ในสายเชือกอวนที่ชาวประมงใช้จับปลาทูน่า เมื่อธาตุดังกล่าวทำปฏิกริยากับน้ำทะเลจะก่อให้เกิดวงกระแสแม่เหล็กขึ้นซึ่งช่วยขับไล่ปลาฉลาม รวมไปถึงปลากระเบนบางชนิด

     วิธีแก้ไขปัญหาที่จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นวิธีที่มีต้นทุนต่ำและปฏิบัติได้ง่าย Jeffry Fasick รองศาสตราจารย์แห่ง Kean University กำลังทำการศึกษาเกี่ยวกับการปกป้องปลาวาฬในเขต North Atlantic โดยการใช้เชือกหลากสีที่ปลาวาฬสามารถมองเห็นและหลีกเลี่ยงได้ และยังมีการนำห่วงเหล็กที่มีความหนาน้อยลงมาใช้ในเครื่องมือจับปลา เพราะห่วงเหล็กที่มีขนาดเล็กลงจะไม่สามารถรับน้ำหนักของปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาฉลามหรือปลาวาฬได้ ในการทดสอบ NOAA พบว่าห่วงเหล็กที่มีความหนาน้อยลงสามารถช่วยลดปริมาณ Bycatch ของปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ถึงร้อยละ 56 ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอสมควร

7. เพิ่มเติมความรู้ให้แก่ประชาชน
     สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เราไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าอุณหภูมิน้ำมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงความลึกระดับกลางเนื่องจากสัญญาณดาวเทียมไม่สามารถบันทึกข้อมูลที่ลึกไปกว่า 7 ฟุตจากผิวน้ำ เราไม่สามารถรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศใต้ทะเลทั้งหมด เพราะเครื่องมือที่เรามีอยู่ขณะนี้สามารถครอบคลุมได้เพียงร้อยละ 10 ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดว่าใต้ทะเลมีสัตว์ประเภทใดอาศัยอยู่บ้าง เพราะล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ทำบันทึกพันธุ์สัตว์น้ำใต้ทะเลสามารถทำบันถึงได้ 190,000 พันธุ์สัตว์น้ำ แต่เรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์น้ำอื่นๆ อีกหลายๆ ล้านพันธุ์ที่เหลือ

     เราสามารถพูดได้เลยว่า เราแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมหาสมุทร ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์จาก University of California ที่ Berkeley กล่าวว่าจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถย่อยน้ำมันดิบได้เป็นผู้ที่ทำให้พวยน้ำมัน (Oil Plume) ที่มีพื้นที่ยาวถึง 22 ไมล์ใต้น้ำที่เกิดขึ้นในตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกเมื่อปีที่แล้วหายไปอย่างน่าประหลาดใจ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ค้านว่าพวยน้ำมันนั้นยังคงอยู่ Larry Mayer ประธานผู้บริหารของ National Academy of Science ซึ่งกำลังศึกษาเกี่ยวกับระบบนิเวศของอ่าวเม็กซิโกหลังเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหล กล่าวว่า หากมีใครตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับมหาสมุทรน้ำลึก หรือคำถามเกี่ยวกับผลกระทบจากน้ำทะเลที่มีต่อชั้นบรรยากาศ หรือคำถามที่เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหอยชนิดต่างๆ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ชัดเจน

     Giora Proskurowski นักสมุทรศาสตร์จาก University of Washington ได้กล่าวว่า การให้สัดส่วนพื้นที่ของมหาสมุทรและแผ่นดินก็ยังเป็นปัญหา แม้ว่าทุกวันนี้เราจะพูดว่าน้ำทะเลมีพื้นที่ถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ทั้งหมดในโลกซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 139 ล้านตารางไมล์ แต่น้ำทะเลมิได้มีเพียงแต่พื้นที่พื้นผิว แต่นำทะเลมีความลึก และปริมาณน้ำทะเลก็มีการเปลี่ยนแปลอยู่เสมอ การศึกษามหาสมุทรต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงมาก การวิจัยครั้งหนึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 5 – 10 วัน และงบประมาณจำนวน 25,000 เหรียญสหรัฐต่อวัน เพียงเพื่อการส่งเครื่องมือไปให้ถึงบริเวณความลึกระดับกลางของมหาสมุทรและศึกษาระดับความเข้มข้นของเกลือและอุณหภูมิของน้ำทะเล

     การเก็บตัวอย่างบนเรือเป็นการศึกษาแบบชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังผลักดันให้มีการศึกษาค้นคว้าที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น หรือให้มีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น Proskurowski, Mayer และนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ อีกกว่าร้อยคนซึ่งได้งบประมาณจำนวน 760 ล้านเหรียญสหรัฐจาก National Science Foundation Ocean Observatories Initiative (OOI) กำลังสร้างไยแก้วเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างมหาสมุทร Pacific และมหาสมุทร Atlantic โดยเครือข่ายจะส่งไฟฟ้าระดับ 200 กิโลวัตตไปยังยานพาหนะ และเครื่องตรวจจับสัญญาณ 49 ชนิดในมหาสมุทร จากนั้นก็ส่งสัญญาณข้อมูลกลับทางไยแก้ว หลายๆ ประเทศเช่น สาธารณะรัฐประชาชนจีน ประเทศเกาหลี และประเทศในทวีปยุโรปหลายๆ ประเทศกำลังเข้าร่วมโครงการสำรวจผ่านไยแก้วดังกล่าว

     งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจมหาสมุทรได้ เงินงบประมาณสำหรับการสำรวจที่องกร NASA มีนั้นสูงกว่างบประมาณที่ National Oceanic and Atmospheric Administration มีอยู่ถึง 900 เท่าตัว เงินงบประมาณจำนวน 387 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการก่อสร้างของหน่วยงาน OOI เป็นเพียง 1 ใน 17 ของงบประมาณที่ James Webb Space Telescope มี O’Dor ผู้ที่กำลังรวบรวมงบประมาณและนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกเพื่อร่วมสร้างระบบโทรศัพท์ใต้ทะเลของ OTN กล่าวว่า เขาปฏิบัติงานอยู่ใน Washington D.C.  เขากำลังริเริ่มโครงการระดับโลกในขณะที่เขาไม่มีงบประมาณสำหรับการเดินทางไปที่ไหนๆ
 
 
 
อ้างอิงข้อมูลจาก






 

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พายุรามสูร




กรมอุตุฯประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พายุ รามสูรฉบับที่ 13 ได้ขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้แล้ว คาดว่าจะเคลื่อนตัวไปทางประเทศเวียดนามตอนบน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (19 ก.ค.57) พายุไต้ฝุ่นรามสูรได้ขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้แล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างทางทิศตะวันออกของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 280 กิโลเมตร หรือที่ละติจูด 21.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 107.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 27 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนตัวไปทางประเทศเวียดนามตอนบน โดยจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและดีเปรสชั่นตามลำดับ ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ และประเทศเวียดนามตอนบน ขอให้ตรวจสอบลักษณะอากาศก่อนออกเดินทางด้วย


สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักและลมแรงบางพื้นที่ โดยในช่วงวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2557 จะมีผลกระทบบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ขอให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในจังหวัดดังกล่าว เตรียมการป้องกันและระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน จะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย
ประกาศ ณ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11.00 น.
กรมอุตุฯประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พายุ รามสูรฉบับที่ 13 ได้ขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้แล้ว คาดว่าจะเคลื่อนตัวไปทางประเทศเวียดนามตอนบน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (19 ก.ค.57) พายุไต้ฝุ่นรามสูรได้ขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้แล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างทางทิศตะวันออกของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 280 กิโลเมตร หรือที่ละติจูด 21.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 107.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 27 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนตัวไปทางประเทศเวียดนามตอนบน โดยจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและดีเปรสชั่นตามลำดับ ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ และประเทศเวียดนามตอนบน ขอให้ตรวจสอบลักษณะอากาศก่อนออกเดินทางด้วย







วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สิ้นป่าก็สิ้นใจ

สิ้นป่าก็สิ้นใจ
 
 
    “ทุกสิ่งย่อมเกิดมาจากเหตุ” ซึ่งนี่คือหลักสำคัญของธรรมชาติ การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้นมาและดำรงอยู่ได้โดยปกติสุขนั้นจะต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาช่วยสร้างและสนับสนุนให้เกิดขึ้น ถ้าขาดเหตุปัจจัยสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมที่จะดำรงอยู่ไม่ได้ หรือถ้าเหตุปัจจัยไม่สมบูรณ์ สิ่งนั้นย่อมดำรงอยู่ด้วยความยากลำบากหรือมีทุกข์มากน้อยไปตามความไม่สมบูรณ์นั้น

 

    โลกเมื่อครั้งยังไม่มีสิ่งที่มีชีวิตก็ว่างเปล่า เมื่อมีน้ำเกิดขึ้นมาจึงเป็นเหตุให้เริ่มเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆขึ้นมา และเมื่อมีพืชเกิดขึ้นมาเป็นป่าไม้ไปทั่วโลก จึงเกิดมีสัตว์ป่านานาชนิดและมนุษย์ขึ้นมา คืออาศัยป่าไม้เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมา 

 

 
ภาพ ป่าต้นน้ำ
 
 

     ป่าไม้เป็นระบบนิเวศน์ที่บอบบางที่ต้องมีความสมดุลของสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องตามระบบของมัน มันจึงจะดำรงสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์เอาไว้ได้ คือต้องมีต้นไม้หลากชนิด ต้องมีพื้นที่กว้างมาก และต้องมีสัตว์ป่ามากชนิดเพียงพอ โดยต้นไม้ที่มากนั้นก็จะช่วยให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความชุ่มชื้นมากจนมีฝนตกชุกตามฤดูกาลอย่างเพียงพอ ส่วนการมีสัตว์ป่านั้นจะช่วยให้เกิดการแพร่พันธุ์ของพืชชนิดต่างๆไปทั่วพื้นที่ของป่า ซึ่งสัตว์ป่านั้นก็จะมีการควบคุมกันเองอยู่แล้วในตัวเพื่อไม่ให้มีสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินควรอันจะทำให้ป่าเกิดความเสียสมดุล

มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ต้องอาศัยอากาศบริสุทธิ์หายใจ ต้องดื่มน้ำบริสุทธิ์ ต้องกินอาหารบริสุทธิ์ ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ต้องมีเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่เรียกว่าปัจจัย ๔ ซึ่งปัจจัย ๔ นี้ย่อมหาได้ง่ายจากป่าไม้ทั้งสิ้น 

 

     ป่าไม้จะสร้างออกซิเจนให้เราหายใจ ป่าไม้จะช่วยให้มีฝนตกและมีน้ำบริสุทธิ์ให้เราดื่ม ป่าไม้จะช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์จนเพาะปลูกพืชมาเป็นอาหารให้เรากิน ป่าไม้จะช่วยปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะแก่การที่เราจะมีชีวิตอยู่ ป่าไม้จะมีพืชที่เอามาทำเป็นเสื้อผ้าให้เราสวมใส่ ป่าไม้จะมีพืชที่ให้เราเอามาสร้างเป็นบ้านให้อาศัย และป่าไม้จะมีพืชที่เอามาทำเป็นยารักษาโรคเมื่อเราเกิดเจ็บไข้ขึ้นด้วย เรียกได้ว่าป่าไม้คือต้นกำเนิดของชีวิตเราทุกคนและเป็นผู้เลี้ยงดูเราทุกคนให้เป็นสุข เปรียบเหมือนกับผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่งของเราทุกคน

 

     แต่มนุษย์นั้นกลับเป็นสัตว์ที่เนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ด้วยการทำลายป่าไม้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งการทำลายป่าโดยตรงก็คือการเข้าไปตัดเอาไม้ในป่าออกมาขายสร้างบ้านเรือนใหญ่โตสวยหรูเกินความจำเป็นอย่างมากมาย และยังเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของประดับตกแต่งที่เกินความจำเป็นอย่างมากมายอีกด้วย และแม้การเผาป่า การทำร้ายสัตว์ป่า และบุกรุกพื้นที่ป่าก็เป็นการทำลายป่าโดยตรงด้วย ส่วนการทำลายป่าโดยอ้อมก็คือการกระทำที่ส่งเสริมให้เกิดการทำลายป่าโดยตรงนั่นเอง ซึ่งการกระทำที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำลายป่านั้นก็มีมากมายแต่สรุปอยู่ที่การกิน การใช้อย่างฟุ่มเฟือยของมนุษย์เราที่เรียกว่าเป็นความเจริญทางวัตถุนั่นเอง

ความเจริญทางวัตถุนั้นจะทำให้เกิดการนำเอาทรัพยากรจากป่าคือต้นไม้ใหญ่ๆมาใช้สอยอย่างมากมาย และยังทำให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าเพื่อนำเอาพื้นที่ป่ามาปลูกสร้างบ้านเรือนหรือเพื่อเพาะปลูกพืชที่ไม่ได้มีคุณค่าแก่การนำเอามากินเป็นอาหารเลย หรือเพื่อเอาพื้นที่ป่ามาปลูกพืชเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ให้มนุษย์กินเนื้อหรือดื่มนมของมันอีกด้วย ยิ่งมนุษย์มีความเจริญทางวัตถุมากเท่าใด มนุษย์ก็จะกิน จะใช้ กันแต่ในสิ่งที่หรูหราฟุ่มเฟือยที่เกินความจำเป็นกันมากยิ่งขึ้น และมันก็จะทำให้เกิดการทำลายป่าไม้ของโลกให้พินาศย่อยยับลงมากยิ่งขึ้นตามไปด้วยเสมอ

ถ้ามนุษย์จะกิน จะใช้ปัจจัย ๔ อย่างพอเหมาะพอควร ไม่มากมายจนเกินไป ป่าไม้และสัตว์ป่าของโลกก็ย่อมที่จะไม่ถูกทำลายลงอย่างมากมายจนเสียสมดุล มนุษย์ก็ยังคงที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขไม่เดือดร้อน เพราะยังมีป่าไม้มากเพียงพอที่จะยังรักษาสมดุลของธรรมชาติที่พอเหมาะแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์เอาไว้ได้ 

 

     แต่การที่มนุษย์เนรคุณต่อป่าไม้ด้วยการกิน การใช้กันมากมายเกินความจำเป็นจนสนับสนุนให้เกิดการทำลายป่าไม้ของโลกกันอย่างมโหฬารจนป่าไม้ของโลกถูกทำลายลงอย่างมากมายและกระทบกับระบบนิเวศของมันจนทำให้ป่าเสียสมดุล แล้วผลที่ตามมาก็คือทำให้พื้นที่ป่าลดลง แล้วความชุ่มชื้นก็ลดลง จึงทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดภาวะฝนแล้งนานๆ เมื่อฝนตกก็เกิดน้ำท่วม จึงส่งผลให้ต้นไม้ตายมากขึ้น และเกิดพื้นที่ทะเลทรายมากขึ้น 

 

    ฝนที่ตกต้องตามฤดูกาลจะช่วยให้มนุษย์เพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารให้มีเพียงพอ แต่ถ้าเกิดฝนแล้งขึ้นมานานๆพืชก็ย่อมที่จะเพาะปลูกไม่ได้ ก็จะส่งผลให้มนุษย์เกิดความอดอยากขาดแคลนขึ้นมาได้ อีกทั้งการที่ไม่มีป่าไม้ก็จะส่งผลทำให้อากาศบริสุทธิ์ลดน้อยลง และอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ซึ่งนี่หมายถึงความเดือดร้อนของมนุษย์ และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปนานๆ ภัยพิบัติย่อมเกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์อย่างแน่นอน ทั้งจากความอดอยากขาดแคลน ทั้งจากโรคระบาดต่างๆ และจากสงคราม

 

    ในปัจจุบันสมครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากรของประเทศอื่นกำลังรุนแรง ซึ่งสงครามนี้ก็มีทั้งสงครามเศรษฐกิจและสงครามการใช้กำลังอาวุธ ประเทศที่มีอำนาจมีเทคโนโลยี่สูงก็ใช้เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยี่เพื่อกอบโกยเอาทรัพยากรของประเทศอื่นมาเป็นของประเทศตนเอง ถ้าประเทศใดไม่ยินยอมหรือขัดขวางก็หาทางใช้กำลังอาวุธเข้าบังคับควบคุม ส่วนประเทศที่เสียเปรียบก็จะใช้สงครามแบบกองโจร คือซุ่มทำร้ายหรือก่อความไม่สงบขึ้นมาต่อต้าน จนเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วโลกอย่างเช่นในปัจจุบัน และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าโลกคงถึงกาลวิบัติเป็นแน่  
 
    สรุปได้ว่า ป่าไม้คือผู้ให้กำเนิดและมีพระคุณอย่างยิ่งแก่มนุษย์ ถ้าป่ายังคงอุดมสมบูรณ์ มนุษย์ก็จะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ถ้ามนุษย์ทำลายป่า ก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง ซึ่งเรียกว่าเป็นผู้เนรคุณต่อป่า ซึ่งจัดเป็นความเลวทรามต่ำช้าที่สุดของมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็จะต้องได้รับผลอันเลวร้ายเป็นสิ่งตอบแทนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ถ้ามนุษย์ยังไม่กลับตัวกลับใจมารักษาป่า รักษาธรรมชาติ ด้วยการช่วยกันกินและใช้อย่างประหยัดเพื่อไม่ให้เกิดการทำลายป่าไม้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มนุษย์ก็ย่อมที่จะพบกับความวิบัติอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงในไม่ช้า

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
 
 
 
ขอขอบคุณบทความจาก : http://www.whatami.net/lum/lum46.html





















วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภาวะโลกร้อน


ภาวะโลกร้อน
ข่าวภาวะโลกร้อน ธารน้ำแข็งละลายที่กรีนแลนด์
ภาวะโลกร้อนน้ำแข็งละลายที่กรีนแลนด์-ภูเขาหิมาลัยละลายหมด
สาเหตุภาวะโลกร้อน
        สาเหตุภาวะโลกร้อน นักสิ่งแวดล้อมห่วงธารน้ำแข็งกรีนแลนด์-ภูเขาหิมาลัยละลายหมด อาจกระทบชาวโลก 500 ล้านชีวิตต้องไร้ที่อยู่อาศัย เว็บไซต์ฟอร์บส์ รายงานเมื่อวันที่ 6 กันยายนว่า นายโรเบิร์ต เพอร์เวส ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมออสเตรเลีย และหนึ่งในคณะกรรมการขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) แสดงความวิตกว่า ในอนาคตประชากรโลกกว่า 500 ล้านคนอาจจะไม่มีที่อยู่อาศัย หากธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ และบนเทือกเขาหิมาลัยละลายหมด เพราะภาวะโลกร้อน
ผลกระทบภาวะโลกร้อน
        เกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเพราะภาวะโลกร้อน โดยเมื่อไม่นานมานี้ นายโรเบิร์ต เพอร์เวส เพิ่งได้เดินทางไปสำรวจธารน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ ธารน้ำแข็งโคลัมเบียของประเทศแคนาดา พบธารน้ำแข็งขนาดใหญ่อีก 12 แผ่นในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งจากการสำรวจในครั้งนั้น เขาได้พบว่า อุณหภูมิในทะเลกรีนแลนด์นั้นอุ่นขึ้นกว่าเดิมมากเพราะภาวะโลกร้อน จนทำให้เกิดสัตว์น้ำสายพันธุ์ใหม่อีกกว่า 100 สายพันธุ์ใต้ท้องทะเล

        นายโรเบิร์ต ระบุว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์กำลังตกอยู่ในอันตราย และยิ่งไปกว่านั้น หากธารน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายจนหมด อาจทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีก 9-15 ฟุต หรือประมาณ 2.7-4.5 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่า หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อประชากรโลกมากกว่า 500 ล้านคนที่ต้องไร้ที่อยู่อาศัย นี่เป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเผชิญอยู่
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
        เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญที่ชาวจีน และชาวอินเดียกว่า 2 พันล้านคนใช้อุปโภคบริโภค เพราะขณะนี้ โรเบิร์ต เพอร์เวส พบว่า น้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาหิมาลัยมีความกว้าง และความหนาลดลงจากเดิมที่เคยวัดในช่วงปี ค.ศ.1980 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างกับปริมาณน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกที่ลดลงไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เนื่องมาจากความร้อนที่พัดพาเข้าไปในน้ำทะเล ทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงไปราว 4-5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเขาย้ำว่า ความจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาวิตกกังวลต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นอย่างมาก
วิธีลดโลกร้อน 
        สิ่งแวดล้อมที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจะเป็นห่วงเป็นใยมากที่สุด คือปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน

        นิตยสารไทม์ ได้พาดหัวข่าวว่า "ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่พวกเราต้องกังวลกันให้มากๆ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาในอนาคตอีกต่อไป แต่กำลังคืบคลานเข้ามาทำลายโลกสีน้ำเงินใบนี้อยู่ทุกขณะ"
รูปธรรมสำคัญต่อภาวะโลกร้อน และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพากันกังวลมากที่สุดก็คือ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่กำลังละลายอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมาศูนย์ข้อมูลน้ำแข็งและหิมะแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยการสำรวจขั้วโลกเหนือด้วยดาวเทียมสำรวจขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ พบว่าน้ำแข็งในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกละลายเร็วขึ้นกว่าเดิม และอุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดาวเทียมของนาซาได้เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2002 แสดงให้เห็นถึงฤดูใบไม้ร่วงอันเป็นช่วงน้ำแข็งละลายที่คืบคลานมาเร็วผิดปกติในแถบไซบีเรียเหนือและอลาสกา
เท็ด สคัมโบส จากมหาวิทยาลัยโคโลราโดชี้ว่า การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสัญญาณที่ระบุได้ชัดเจนก็คืออุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบทศวรรษนี้

ปัญหาภาวะโลกร้อน
        ภาวะโลกร้อนได้ทำให้ปริมาณทะเลน้ำแข็งที่ละลายมีมากขึ้นผิดปกติ จนทำให้เหลือแผ่นน้ำแข็งปกคลุมบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกน้อยมากที่สุดในรอบ 100 ปีหรือพูดง่ายๆ ก็คือแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือมีขนาดเล็กที่สุดในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพถ่ายดาวเทียมของเกาะกรีนแลนด์ ได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อปีกลายเกาะน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้ละลายน้ำแข็งออกมากลายเป็นน้ำทะเลด้วยปริมาณถึง 220 ลูกบาศก์กิโลเมตร มากกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วละลายออกมาแค่ 90 ลูกบาศก์กิโลเมตร น้ำ 1 ลูกบาศก์กิโลเมตรมีปริมาณเท่ากับน้ำ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร (ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์รวมกันเท่ากับ 5 ลูกบาศก์กิโลเมตรเท่านั้น)

เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่เชื่อว่า โอกาสที่น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายจากภาวะโลกร้อนขนาดนั้นจะเกิดขึ้นได้แต่ทุกวันนี้ในประเทศอาร์เจนติน่า บริเวณส่วนที่ใกล้กับขั้วโลกใต้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งใหม่ เมื่อบรรดานักท่องท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกแห่กันมาเฝ้าชมการพังทลายของธารน้ำแข็ง "ไวท์ ไจแอนท์" แห่งอาร์เจนตินา จากภาวะโลกร้อนที่ก่อตัวมาหลายพันปีนี้กำลังจะละลายลงอย่างช้าๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมาชิ้นนี้พังทลายลง ย่อมเป็นสัญญาณที่เชื่อมถึงภาวการณ์โลกร้อนที่กำลังวิกฤตขึ้นทุกขณะ 
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโลกจากภาวะโลกร้อน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญเรื่องภาวะโลกร้อน ได้อธิบายให้อย่างน่าฟังว่า น้ำแข็งมีความสำคัญกับระบบนิเวศวิทยาอย่างมากโดยทำหน้าที่คล้าย "ป่า" ในเขตหนาวหากเปรียบว่าป่าเสมือนฟองน้ำที่คอยอุ้มน้ำ แล้วค่อยๆ ปล่อยน้ำออกมา "น้ำแข็ง" ก็เป็นเสมือนฟองน้ำที่ชะลอการไหลบ่าของกระแสน้ำ และเมื่อถึงหน้าร้อนน้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำไหลไปรวมเป็นลำธาร และแม่น้ำหล่อเลี้ยงสายต่างๆ หล่อเลี้ยงผู้คนทั่วโลกแม่น้ำโขงก็มีต้นกำเนิดส่วนหนึ่งมาจากน้ำแข็งบนยอดเขาหิมาลัย ที่ละลายตัวเองออกมากลายเป็นสายน้ำโขง ก่อนจะมารวมกับน้ำจากลำธารต่างๆ ที่มีต้นกำเนิดมาจากป่าดิบ
ลดโลกร้อน
        อย่างไรก็ดี ดร.อานนท์บอกว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ น้ำแข็งของโลกที่ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ น้ำแข็งขั้วโลก น้ำแข็งบนยอดเขา และน้ำแข็งในทะเล เกิดปรากฏการณ์น้ำแข็งละลายมากผิดปกติ โดยน้ำแข็งมีการแตกตัวเป็นก้อนเล็กๆ เพิ่มมากขึ้น ส่วนก้อนเล็กๆ ที่มีอยู่เดิมก็หายไป ขณะที่น้ำแข็งบนยอดเขาก็ละลายเพิ่มมากขึ้น โดยสังเกตได้ชัดจากการเก็บภาพถ่ายมาเปรียบเทียบ และน้ำแข็งในทะเลก็บางลง แม้กระทั่งยอดเขาเอเวอเรสต์ก็มีรายงานว่า หิมะและน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามแนวเขาลดน้อยลงทุกขณะระดับน้ำทะเลจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนแก่พื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วโลก อุณหภูมิของกระแสน้ำในมหาสมุทร ความชื้นในอากาศและการไหลเวียนของอากาศโลก เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่สมดุลกัน
ทุกวันนี้หากถามว่าใครคือผู้ร้ายที่ทำให้โลกร้อนขึ้น คำตอบก็คือก๊าซคาร์บอนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากผืนโลกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศนั้นเป็นตัวป้องกันไม่ให้รังสีจากดวงอาทิตย์ผ่านทะลุออกนอกโลกไปได้ เฉกเช่นเดียวกับเราอยู่ในรถหรือเรือนกระจกที่ความร้อนไม่อาจระบายออกไปได้ ดังนั้นจึงเรียกปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า "เรือนกระจก" ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบทั้งทางด้านอากาศและอุณหภูมิโดยรวมทั่วโลก เป็นเหตุให้อากาศร้อนขึ้น จนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และไม่ค่อยมีคนรู้ว่าพื้นผิวของน้ำแข็งขั้วโลกทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์กลับสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 90% ขณะที่น้ำในมหาสมุทรกลับดูดเอาความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ถึง 90% เช่นกัน
   หรือพูดง่ายๆ ว่า ยิ่งโลกมีพื้นผิวน้ำแข็งน้อยลงเท่าใด ภาวะโลกก็ร้อนมากขึ้น เพราะน้ำแข็งสะท้อนความร้อนออกสู่นอกโลกได้ดีกว่าน้ำทะเล แต่ถามว่ามนุษย์ปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลกเมื่อใด Science วารสารวิชาการชื่อดังของโลก ได้ทำนายว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้เราอาจจะได้เห็นน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 6 เมตร เพราะความหายนะมักมาเยือนเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก วันหนึ่งที่ไม่นานเกินรอ หากเกิดปรากฏการณ์ น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาว ก็คงรู้ว่าคนกันเองทั้งนั้นที่เป็นต้นเหตุ

ภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งพวกเราก็รู้กันดีว่าเกิดขึ้นจากสิ่งใด แต่ถึงอย่างไงแก๊สส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมาเพราะฝีมือของมนุษย์อยู่ดี ถ้าอยากให้โลกนี้เย็นลงก็ควรช่วยกันลดและใช้อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดสารCFCให้คุ้มค่ามากที่สุด