วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ปลูกป่าชายเลน



        สำหรับในวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราได้มีโอกาสไปร่วมปลูกป่าชายเลนกับเพื่อนๆกันที่ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่2(สมุทรสาคร)

     


        การไปปลูกป่าชายเลนในครั้งนี้ทำให้พวกเราได้เห็นสัตว์ที่อยู่ตามป่าชายเลนเช่น ปลาตีน และปูแสม








หลังจากที่พวกเราไปปลูกป่าชายเลนกันมาแล้วเรามาดูประโยชน์ของป่าชายเลนกันดีกว่า

ประโยชน์ของป่าชายเลน
ป่าชายเลนมีความสำคัญและประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล เพราะป่าชายเลนเป็นที่รวมของพืช สัตว์น้ำและสัตว์บกนานาชนิด ซึ่งมีความสำคัญและประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์หลายรูปแบบ คือ
ด้านป่าไม้
ไม้ในป่าชายเลนนำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ กันได้หลายรูปแบบ เช่นทำฝืนและถ่านซึ่งในแต่ละปีไม้ป่าชายเลนที่ตัดออกมา เช่น ไม้โกงกาง ไม้ถั่ว ไม้โป ประมาณ 80% จะนำมาทำถ่านโดยเฉพาะไม้โกงกาง จะทำถ่านได้คุณภาพดีที่สุด, ทำไม้เสาเข็มและ ไม้ค้ำยัน เช่นตาตุ่ม โกงกาง แทนนิน, เปลือกไม้หลายชนิด นำมาสกัดจะได้แทนนิน ใช้ทำหมึก ทำสี ทำกาว ฟอกหนัง
ด้านประมง
เป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์น้ำ พวกเศษไม้ใบไม้และส่วนต่างๆ ของไม้ที่ร่วงหล่นจะถูกย่อยสลายเป็นโปรตีน สำหรับพวกหอย ปู และหนอนปล้อง ซึ่งจะเป็นอาหารของสัตว์น้ำที่ใหญ่กว่าต่อไป เป็นที่อยู่อาศัยและที่อนุบาลสัตว์น้ำในระยะตัวอ่อนกุ้งและปลา ที่สำคัญทางเศรษฐกิจได้อาศัยป่าชายเลนเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงตัวอ่อน เช่น กุ้งกุลาดำ ปลากะพงขาว และปลาอื่นๆ
ด้านอื่น ๆ
เป็นแหล้งสำหรับลดความรุนแรงของคลื่น ป้องกันการพังทลายของดินชายฝั่ง ช่วยชะลอความเร็วของลม พายุให้ลดลงก่อนที่จะขึ้นสู่ ฝั่งมิให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงแก่ที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณใกล้เคียง ช่วยเพิ่มพื้นที่ ตามชายฝั่ง เพราะระบบรากของไม้ป่าชายเลนจะช่วยในการทับถมของเลนโคลน ทำให้เกิดดินเลนงอกใหม่อยู่เสมอ ช่วยกรองของเสืยที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม มิให้ไหลลงสู่ทะเล สร้างความเสียหายแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศในบริเวณชายฝั่งได้

ขอขอบคุณ
ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่2(สมุทรสาคร)

http://www.forest.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=322

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิธีลดโลกร้อนง่ายๆ คุณก็ทำได้

วิธีลดโลกร้อนง่ายๆ คุณก็ทำได้


        สำหรับสัปดาห์นี้เราก็มีวิธีช่วยลดโลกร้อนง่ายๆที่คุณก็ทำได้มาแนะนำกัน
1. ปรับ Desktop Wallpaper ของท่านให้เป็นสำเข้ม ยิ่งเป็นสีดำเลยยิ่งดี เพราะว่ามันจะประหยัดไฟมากกว่า รวมไปถึง Screen Saver ก็ให้ตั้ง Blank ไว้ มันจะเป็นหน้าจอดำสนิท ปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน เช่น ตอนพักเที่ยง และตอนกลับบ้าน

ภาพจาก : http://www.bhubeth.com/wp-content/uploads/2014/02/assitive-touch-ios.jpg

ภาพจาก : http://bangkokgreencity.bangkok.go.th/getattachment/09be86c6-e236-420d-81c8-df615f19ab54/25-05-2555-2013-37-36-(1).png.aspx

2. พกผ้าเช็ดหน้า แทนที่จะใช้กระดาษทิชชู สมัยนี้มีกระดาษทิชชูห่อสวยๆพกง่ายๆออกมา หลายคนใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า เพราะว่ามันสะดวกและห่อมันก็น่ารักด้วย แต่กระดาษทิชชูผลิตมาจากต้นไม้ ยิ่งใช้มากก็ยิ่งต้องตัดมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่าครับ เก็บต้นไม้ไว้เป็นปอดให้กับโลกเราบ้าง

ภาพจาก : http://admin.ladytips.com/Images/News/images/2011/08/31/%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2.jpg
3. การชาร์ตแบตมือถือ การชาร์ตแบตมือถือของคนทั่วๆไปเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 95% เพราะว่ามักจะเสียบสายค้างไว้ทั้งๆที่แบตเต็มแล้ว ท่านรู้ไหมว่าถึงแบตจะเต็มแล้วแต่ว่าถ้าไม่ถอดออกมันก็จะยังกินไฟอยู่ ฉะนั้นเวลาแบตเต็มแล้วก็ให้ถอดสายออก แต่ถ้ายังเสียบหม้อแปลงกับเต้าเสียบค้างไว้มันก็ยังกินไฟอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ให้ถอดออกให้หมด
4. ประหยัดน้ำ อย่าใช้น้ำแบบสิ้นเปลือง ถ้ามีโอกาสได้เปลี่ยนก๊อกที่บ้าน ก็ให้ใช้ก๊อกน้ำแบบเพิ่มฟองอากาศ น้ำที่ไหลออกมาจะมีฟองอากาศออกมาด้วยทำให้ดูเหมือนมีน้ำเยอะ แต่จะประหยัดกว่าก๊อกธรรมดาถึงครึ่งหนึ่ง ถ้านึกไม่ออกให้ดูห้องน้ำตามห้าง น้ำที่ไหลออกมาจะเป็นแบบนั้น และเวลาใช้น้ำที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเราก็ควรจะประหยัดด้วย ไม่ใช่คิดว่าของฟรี หรือเวลาไปพักตามโรงแรมก็อย่าคิดว่าใช้ให้คุ้ม เพราะว่าทำแบบนี้แหละโลกถึงร้อน


ภาพจาก : http://upic.me/show/3872360
5. ประหยัดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้และถอดปลั๊กด้วย รวมไปถึงหลอดไฟด้วย ถ้ามีโอกาสก็เปลี่ยนหลอดไส้เป็นหลอดประหยัดไฟ CFL ซะ ที่มันเป็นเกลียวๆ ถึงหลอดพวกนี้จะแพงกว่า แต่ก็ประหยัดไฟกว่ามาก แถมอายุการใช้งานก็ยาวกว่าเยอะ ซึ่งในระยะยาวก็จะคุ้มกว่าแน่นอน

ภาพจาก : http://eeelectrical.igetweb.com/private_folder/fan3.jpg

6. ลดใช้ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกทำให้เราสะดวกขึ้นก็จริง แต่มันเป็นภัยต่อโลกอย่างมากมาย กว่าถุงที่เราใช้จะย่อยสลายไป ตัวเรานั้นย่อยสลายก่อนมันไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าต้องใช้จริงๆก็ให้เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ครั้งต่อไปได้อีก เวลาจ่ายตลาดก็ให้ใช้ถุงผ้าแทน ถุงผ้าสวยๆก็มีออกมาขายกันเยอะแยะ
7. ลดอาหารแช่แข็ง อาหารแช่แข็งตอนนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เห็นมีคนนิยมบริโภคมากขึ้นเหมือนกัน แต่ท่านรู้ไหมว่าขั้นตอนการผลิตนั้นทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก เพราะว่ากล่องที่ใส่ก็เป็นพลาสติก ขั้นตอนในการขนส่งก็ต้องเก็บไว้ในที่เย็นตลอดเวลา รวมไปถึงตอนที่อยู่ในร้านด้วย แม้กระทั่งตอนจะกินยังต้องใช้พลังงานในการอุ่นอีก เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากินเลยครับ มันสิ้นเปลืองพลังงาน กินของสดอร่อยกว่าอีก
8. ใช้จักรยาน เวลาที่ท่านไปทำธุระใกล้ๆบ้าน อาจจะไปซื้อของ จ่ายตลาด นอกจากจะประหยัดน้ำมันในยุคที่น้ำมันแพงแล้ว ยังช่วยให้ท่านได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินเข้าฟิตเนสแพงๆ
9. ลดการ Shopping หลายคนนั้นการ Shopping เป็นอะไรที่มีความสุขเหลือเกิน แต่ก็ขอให้ลดการซื้อแบบสิ้นเปลืองลงบ้าง บางทีก็ซื้อๆไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็ได้ใส่แค่ครั้งสองครั้ง บางชิ้นอาจไม่ได้ใส่ด้วยซ้ำ แต่อยากซื้อ..อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เอาแค่อันที่เราจะใส่จริงๆ เพราะว่ามันต้องใช้พลังงานมากมายในอุตสาหกรรมพวกนี้
10. ปลูกต้นไม้ มนุษย์ทุกคนชอบธรรมชาติ เวลาที่เราได้เห็นสถานที่ที่มีธรรมชาติงดงาม ไม่ว่าจะเป็นป่าไม่ที่เขียวชอุ่ม น้ำใสๆ ชายหาดที่ขาวสะอาด เราจะรู้สึกสบายใจและชอบมัน แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้ช่วยกันรักษามัน เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาก็ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ อาจจะเป็นที่สวนหน้าบ้านได้ หรือมีเนื้อที่ตรงไหนก็ปลูกตรงนั้น ใส่กระถางไว้ก็ได้ นอกจากจะทำให้บ้านดูสวยขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดก๊าซพิษในอากาศได้อีกด้วย
11. ขับรถยนต์ ส่วนตัวให้น้อยลง ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย
12. ยืดอายุตู้เย็นด้วยการไม่นำอาหารร้อนเข้าตู้เย็น และหลีกเลี่ยงการนำถุงพลาสติกใส่ของในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นจ่ายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงอาหาร
13. ถอดปลั๊กไฟฟ้าทุกครั้งที่เลิกใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะการใช้ไฟฟ้าในบ้านมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 16%
14. หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการตากผ้าแทนการ อบผ้าในเครื่องซักผ้า
15. การรีดผ้า ควรรีดครั้งละมาก ๆแทนการัดทีละตัว เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า
16. ปิดแอร์บ้าง แล้วหันมาใช้พัดลมหรือว่าเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทมากขึ้น
17. เวลาไปที่ห้างสรรพสินค้าอย่าเปิดประตูทิ้งไว้ เพราะแอร์จะทำงานหนักมากว่าปกติ
18. ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ นอกจากจะเป็นการได้ออกกำลังกายแล้วยังประหยัดได้เยอะขึ้น
19. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น โดยเปิดเฉพาะด้วยที่เราจำเป็นต้องใช้จริง ๆ
20. ลดๆ การเล่นเกมลงบ้าง เพราะนอกจากสายตาจะเสียแล้ว ยังเปลืองไฟมาก ๆ อีกด้วย
21. ตู้เย็นสมัยคุณแม่ยังสาว ขายทิ้งไปได้แล้ว เพราะกินไฟมากกว่าตู้เย็นใหม่ถึง 2 เท่า
22. บอกคุณพ่อคุณแม่ให้เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40%
23. ละลายน้ำแข็งที่เกาะในตู้เย็นเป็นประจำ เพราะตู้เย็นจะกินไฟมากขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งเกาะ
24. ใช้กระดาษแต่ละแผ่นอย่างประหยัดกระดาษ Reuse หนังสือพิมพ์ เพราะกระดาษเหล่านั้นมาจากการตัดต้นไม้
25. เสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว เอาไปบริจาคบ้างก็ได้ เพราะในบางบริษัทมีการรับ บริจาคเสื้อที่ใช้แล้ว จะนำไปหลอมมาทำเป็นเส้นใยใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 71%
26. ลดใช้พลาสติก โดยใช้ของที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ เช่น กระเป๋าผ้า หรือกระติกน้ำ
27. พยายามทานอาหารให้หมด เพราะเศษอาหารเหล่านั้นก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งก่อให้เกิดความร้อนต่อโลกเพิ่มขึ้น
28. ร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนนได้อีกทางด้วย

ภาพจาก : http://www.greenschoolsireland.org/_fileUpload/Image/grph.carpool.colour.jpg
29. พยายามลดเนื้อสัตว์ที่เคี้ยวเอื้องอย่าง วัว เพราะมูลของสัตว์เหล่านั้นจะปล่อยก๊าซมีเทน
30. กินผักผลไม้เยอะ ๆ เพราะอุตสาหกรรมการเกษตรไม่ปล่อยก๊าซมีเทนที่เป็นตัวเพิ่มความร้อนให้อากาศ
31. กระดาษหนังสือพิมพ์ไม่ใช้แล้ว อย่าทิ้ง สามารถนำมาเช็ดกระจกให้ใสแจ๋วได้
32. ใช้เศษผ้าเช็ดสิ่งสกปรกแทนกระดาษชำระ
33. มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐาน
34. ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา เพราะสินค้าที่ห่อด้วยพลาสติกและโฟมนั้นจะทำให้เกิดขยะจำนวนมากมายมหาศาล
35. ลดปริมาณการทิ้งขยะลงบ้าง
36. ป้องกันการปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศด้วยการแยกขยะอินทรีย์ เช่น พวกเศษผักและเศษอาหารออกจากขยะอื่น ๆ ที่สามารถนำไป Recycle ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
37. ขับรถความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
38. ทาหลังคาบ้านด้วยสีอ่อน เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อน
39. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อเติมใหม่ได้ เพื่อเป็นการลดขยะจากห่อของบรรจุภัณฑ์
40. ลดปริมาณขยะโดยใช้หลัก 3R คือ Reuse, Recycle, Reduce
41. ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในสวนไม้ประดับที่บ้าน แต่ขอให้เลือกใช้ปุ๋ยหมักจากธรรมชาติแทน
42. ทานสเต็กและแฮมเบอร์เกอร์ในร้านใหญ่ ๆ ให้น้อยลงบ้างเพราะอุตสาหกรรมเนื้อระดับนานาชาติผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง 18 % สาเหตุหลักก็คือไนตรัสออกไซด์และมีเทนจากมูลวัว
43. มีส่วนร่วมกิจกรรมรณรงค์สิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเผยแพร่ และการลดปัญหาโลกร้อน
44. อยู่อย่างพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ตามพระราชดำรัสของในหลวง
45. ประหยัดพลังงานเท่าที่จะทำได้ทั้งน้ำ ไฟ น้ำมัน เพื่อให้ลูกหลานของเรามีสิ่งเหล่านี้ใช้กันต่อไปในอนาคต
46. ปิดคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วยปุ่ม Off เท่านั้นที่เราต้องการ เพราะปุ่ม Stand by Power จะกินไฟในบ้านแบบไม่รู้ตัว 75 %
47. ถึงจะเป็นยุคแห่งเทคโนโลยี แต่การจัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติและทิศทางลม ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีไฮเทคตลอดเวลา ช่วยกันปลูกต้นไม้ในบ้านก็ช่วยให้ร่มรื่นคลายร้อนไปได้มากแล้ว เรียกว่าการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จะช่วยเซฟพลังงานในบ้านได้ถึง 40 %
48. จ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต นอกจากจะประหยัดเวลากันเห็นๆ ยังช่วยกู้วิกฤติโลกร้อนได้อย่างมโหฬาร เพราะลดการตัดต้นไม้
49. ตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวดและถูสบู่ตอนอาบน้ำ ไม่ควรเปิดให้น้ำไหลตลอดเวลา เพราะจะสูญเสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์
50. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือ เพราะสบู่ก้อนจะใช้เวลาล้างนานกว่า เปลืองน้ำกว่าแต่สบู่เหลวก็ต้องเป็นแบบที่ไม่เข้มข้น เพราะจะได้ใช้น้ำน้อยกว่าด้วย

ยังมีอีกมากมายหลายวิธีที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ ยังไงกันมาช่วยกันรักษาโลกใบนี้ให้น่าอยู่กันนะ



อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.greentheearth.info/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/
http://www.sawananan.ac.th/computer/new/work2/m4/m4/2/n3.htm
http://www.vibhavadi.com/health483.html
http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/story280easy15.html

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ



กรมป่าไม้ (2548) ให้ความหมายของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 1 ว่า การท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปยังแหล่งธรรมชาติและแหล่งวัฒนธรรมอย่างมีความรับผิดชอบ โดยไม่ก่อให้เกิด การรบกวนหรือความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่มีวัตถุประสงค์อย่างมุ่งมั่น เพื่อชื่นชม ศึกษาเรียนรู้ และเพลิดเพลิน ไปกับทัศนียภาพ พืชพรรณ และสัตว์ป่า ตลอดจนลักษณะทางวัฒนธรรม ที่ปรากฏ ในแหล่งธรรมชาตินั้น อีกทั้งช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเกิดประโยชน์ต่อชุมชนอีกด้วย
องค์การท่องเที่ยวโลก (WTO) เสนอแนวคิดในเอกสารเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2545 ว่า การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หมายถึง
 การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงธรรมชาติ
 มีการให้ความรู้และการสื่อความหมาย
 เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มเล็ก
ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ
 ก่อประโยชน์แก่ท้องถิ่น
 กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์



การท่องเที่ยวเชิงนิเวศจึงเป็นการท่องเที่ยวไปยังแหล่งธรรมชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เรียนรู้ทำความเข้าใจกับพัฒนาการทางวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม ด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ชาวบ้านในท้องถิ่น ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการอนุรักษ์ธรรมชาติแวดล้อม ภายใต้หลักการ "คนที่ดูแลรักษาทรัพยากรย่อม สมควรได้รับประโยชน์จากการดูแลรักษานั้น"

ลักษณะของนักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (ecotourists)

หมายถึง กลุ่มนักท่องเที่ยวที่แสวงหากิจกรรมให้มีประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น อันเป็นประสบการณ์จากการเรียนรู้ /รับรู้ เป็นนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ เป็นผู้สนใจใฝ่รู้ ถือว่าการเรียนรู้เป็นการสร้างคุณภาพชีวิตให้กับตน สนใจหาความรู้ทั้งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตของชุมชน มีจิตสำนึกต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางการท่องเที่ยว


การใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเขาในรูปแบบการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่มีหลักการให้ความรู้และ การสื่อความหมาย เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มเล็กเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ ก่อประโยชน์แก่ท้องถิ่น โดยชุมชนร่วมจัดการ และได้รับผลประโยชน์คือรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเสมอภาค และกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ผลที่เกิดต่อเนื่องย่อมรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเขาไว้ได้อย่างยั่งยืน

รูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในระบบนิเวศภูเขา2
  การเดินเส้นทางธรรมชาติ เส้นทางธรรมชาติ (nature trail) 
หมายถึง เส้นทางที่กำหนดไว้ หรือแนะนำให้นักท่องเที่ยว เดินชมสภาพธรรมชาติของพื้นที่แห่งหนึ่งแห่งใด เช่น บริเวณป่าไม้ในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทั้งนี้เพื่อมิให้นักท่องเที่ยวหลงทางหรือเดินสะเปะสะปะไปเหยียบย่ำทำลายพืชพรรณไม้ หรือได้รับอันตรายจากอุบัติภัย ตามเส้นทางเดินจะมีเครื่องหมายบอกทาง รวมทั้งมีป้ายแนะนำชื่อพรรณไม้ต่างๆ และสิ่งที่นักท่อง-เที่ยวควรทราบในสถานที่นั้น มีการทำเส้น-ทางให้เดินได้อย่างสะดวกสบายพอสมควร และไม่เกิดอันตราย

  การส่องสัตว์/ดูนก เป็นการท่องเที่ยวเพื่อศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ป่าและนกชนิดต่างๆในแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ของมัน โดยการมองจากกล้องส่องทางไกล การส่องไฟฉายในช่วงเวลากลางคืน และการ ถ่ายภาพ บริเวณพื้นที่ซึ่งเหมาะสำหรับการท่องเที่ยว ในรูปแบบนี้ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สวนสัตว์เปิด และอุทยานนกน้ำ รวมทั้งสถานที่บางแห่งซึ่งมีนกย้ายถิ่นตามฤดูกาล บินมาเกาะอาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก
  การสำรวจถ้ำ/น้ำตก เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่นิยมกันมาก เนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวประเภทนี้เป็นจำนวนมากในประเทศไทย ส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาให้เดินทางเข้าถึงได้ไม่ยากนัก ถ้ำเป็นลักษณะภูมิประเทศที่พบมากในบริเวณภูเขาหินปูน หากเกิดตามบริเวณ ชายฝั่งทะเลเรียกว่า ถ้ำทะเล ภายในถ้ำมักมีหินงอกหินย้อยสวยงาม หากเป็นถ้ำขนาดใหญ่อาจมีความยาวหลายร้อยเมตรภายในถ้ำก็ได้ และเป็นจุด ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวที่ต้องการ เข้าไปสำรวจ หรือดูความงดงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ
  การปีนเขา/ไต่เขา เป็นรูปแบบของการท่องเที่ยวที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เคยชิน และเพิ่งจะเริ่มนำเข้ามาเผยแพร่โดยนักท่องเที่ยว ชาวต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ การปีนเขา/ไต่เขาต้องอาศัยประสบการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังต้องมีเครื่องมือและอุปกรณ์ช่วย ปัจจุบันกิจกรรมการท่องเที่ยวประเภทนี้มีทำกันบ้างตามหน้าผาชันบริเวณชายฝั่งทะเล บางแห่งในภาคใต้ของประเทศ
  การขี่ม้า/นั่งช้าง การขี่ม้าหรือนั่งช้างเป็นรูปแบบของการท่องเที่ยวที่สร้างความ สนุกสนานตื่นเต้นให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้าไป ชมสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ โดยเฉพาะ การนั่งช้าง ซึ่งเหมาะสำหรับการเข้าไปในบริเวณป่า อันเป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของ สัตว์ชนิดนี้
  การขี่รถจักรยานชมภูมิประเทศ การขี่รถจักรยานชมภูมิประเทศให้ทั้งความเพลิดเพลินในการชมภูมิประเทศสองข้างทาง และ การออกกำลังกาย จึงเป็นรูปแบบของการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในวัยหนุ่มวัยสาว ปัจจุบันมีรถจักรยานที่ออกแบบให้ขับขี่ได้คล่องแคล่วและเบาแรง เหมาะสำหรับการเดินทางในระยะไกล และการเดินทางขึ้นลงตามลาดเขา เรียกชื่อรถจักรยานดังกล่าวว่า รถจักรยานเสือภูเขา
    การกางเต็นท์นอนพักแรม 
การกางเต็นท์นอนพักแรมเป็นกิจกรรมที่นิยมทำกันในบริเวณอุทยานแห่งชาติ หรือในสถานที่ซึ่ง จัดสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้โดยเฉพาะ เป็นรูปแบบของการท่องเที่ยวซึ่งนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนกลางคืนอาจมีกิจกรรมอื่นๆประกอบด้วย เช่น การส่องสัตว์ การสังสรรค์รอบกองไฟหรือการเล่นแคมป์ไฟ (campfire) การดูดาว



ที่มาของรูป:




อ้างอิง:

1.            การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : http://www.seub.ksc.net/News/dec-42/kt-131242-1.htm
2.            การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : http://www.kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK27/chapter3/t27-3-l2.htm#sect2

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกษตรกรรมเชิงนิเวศ


เกษตรกรรมเชิงนิเวศ พิทักษ์ธรรมชาติและประชาชน โดยการปกป้องดิน น้ำ และ สภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดการเกษตรที่มีสุขภาวะและอาหารที่มีประโยชน์สำหรับปัจจุบันและอนาคต และไม่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมด้วยสารเคมี หรือการดัดแปลงพันธุกรรม เพิ่มเติม
            1) เกษตรกรรมเชิงนิเวศก่อให้เกิดการเกษตรที่มีสุขภาวะและอาหารที่มีประโยชน์ สำหรับปัจจุบันและอนาคต โดยปกป้องดิน น้ำ และ สภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และไม่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมด้วยสารเคมี หรือการดัดแปลงพันธุกรรม
            2) เกษตรกรรมเชิงนิเวศปกป้องธรรมชาติและประชาชน ก่อให้เกิดการเกษตรที่มีสุขภาวะและอาหารที่มีประโยชน์ สำหรับปัจจุบันและอนาคต โดยปกป้องดิน น้ำ และ สภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และ ไม่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมด้วยสารเคมี หรือการดัดแปลงพันธุกรรม
            3) เกษตรกรรมเชิงนิเวศสร้างความสมดุลให้กับธรรมชาติและประชาชน โดยปกป้องดิน น้ำ และ สภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดการเกษตรที่มีสุขภาวะและอาหารที่มีประโยชน์ สำหรับปัจจุบันและอนาคต และ ไม่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมด้วยสารเคมี หรือการดัดแปลงพันธุกรรม

แบบอย่างของเกษตรกรรมเชิงทำลายและก่อมลพิษ ทัดทานกับ ประโยชน์ของเกษตรกรรมเชิงนิเวศ
            1. เกษตรอุตสาหกรรมทำลายการพึ่งพาทรัพยากรที่นำกลับมาใช้ใหม่ไม่ได้และที่ทำขึ้นโดยมนุษย์ (เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล สารเคมีเกษตร และ พืชดัดแปลงพันธุกรรม) ซึ่งทำลายทรัพยาธรรมชาติขั้นพื้นฐาน ที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหาร เกษตรกรรมเชิงนิเวศทั้งพึ่งพาและปกป้องธรรมชาติ โดยใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการทางธรรมชาติ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ วงจรสารอาหาร การฟื้นตัวของดิน และ ศัตรูทางธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช และบูรณาการสินค้าทางธรรมชาติเหล่านี้เข้าสู่ระบบการเกษตรเชิงนิเวศต่างๆ ที่มอออาหารให้กับทุกคน ในปัจจุบันและอนาคต
            2. เกษตรอุตหกรรมก่อมลพิษให้กับธรรมชาติด้วยปุ๋ยและสารเคมีอันตรายที่สังเคราะห์ขึ้น นั้นขจัดความอุดมสมบูรณ์ออกจากดิน เป็นภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และ ทำลายความสามารถของธรรมชาติในการควบคุมแมลงศัตรูพืชและโรค เกษตรกรรมเชิงนิเวศก่อให้เกิดอาหารที่มีประโยชน์ และเกษตรกรที่มีสุขภาพดี โดยการสร้างดินที่อุดมสมบูรณ์และพืชที่มีประโยชน์
            3. เกษตรอุตสาหกรรมปล่อยสายพันธุ์พืชดัดแปลงพันธุกรรม ที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของพืชผลของเรา ซึ่งเป็นพืชผลที่ทนทานสภาพการณ์ของท้องถิ่นมาหลายพันปี ดังนั้นจึงสร้างความเสี่ยงให้กับความสามารถในการผลิตอาหารภายใต้สภาพการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลง เกษตรกรรมเชิงนิเวศปรับเกษตรกรรมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคืนความหลากหลายให้กับไร่นาและทุ่งหญ้า และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพตามธรรมชาติ
            4. เกษตรอุตสาหกรรมสร้างอันตรายให้กับอนาคตของดิน น้ำ สภาพภูมิอากาศ และ ป่าของเรา และตั้งอยู่บนการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั้งคิด และในหลายแห่งของโลกตั้งอยู่บนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เกษตรกรรมเชิงนิเวศปกป้องดินจากการกัดกร่อนและความเสื่อมโทรม เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับดิน อนุรักษ์น้ำและถิ่นที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติ และ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
            5. เกษตรอุตสาหกรรมเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่มีสาเหตุจากมนุษย์ ก๊าซเรือนกระจกตัวหลักที่ถูกปล่อยโดยตรงจากเกษตรกรรม ได้แก่ ก๊าซมีเทนจากปศุสัตว์ และไนตรัสออกไซด์จากดินที่ใส่ปุ๋ย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบอย่างหยั่งรากลึกต่อการผลิตอาหารทั่วโลก เกษตรกรรมเชิงนิเวศเป็นทั้งกลยุทธ์การบรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะสามารถดูดรับคาร์บอนได้ในระดับกว้าง และมอบทางเลือกอีกหลายทางสำหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การเกษตรที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการปรับเกษตรกรรมให้เข้ากับสภาพการณ์ของภูมิอากาศในอนาคต
            6. เกษตรอุตสาหกรรมเชิงทำลายเป็นแบบอย่างของเกษตรกรรมที่ผลักดันโดยบริษัทสารเคมีเกษตร ผู้ที่มีเป้าหมายหลักคือ สร้างกำไรจากการขายยาฆ่าแมลง ปุ๋ยสังเคราะห์ และ เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงปากท้องของประชากรโลก ดังนั้นบริษัทเหล่านี้จึงได้รับการสนับสนุน ส่งเสริมและให้เงินอุดหนุนโดยรัฐบาล เกษตรกรรมเชิงนิเวศทำให้ชุมชนต่างๆ มีความสามารถเลี้ยงปากท้องของตนเอง และมอบการเกษตรที่มีสุขภาวะและอาหารที่มีประโยชน์ สำหรับประชาชนทุกคน

ภาพจาก : http://www.trf.or.th/images/stories/newsimages/2014-images/M010112.jpg
ภาพจาก : http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/669908.jpeg
ภาพจาก : http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/735/41735/images/445502981.jpg
ภาพจาก : http://www.yourhealthyguide.com/travel/images_travel/raipukrak-1.gif

อ้างอิงข้อมูลจาก : www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/gmos/.../eco-farm-definition/

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

 

พลังงานทดแทน

    พลังงานทดแทน โดยทั่วไปหมายถึงพลังงานที่ใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิล เช่น ถ่านหิน, ปิโตรเลียม และ แก๊สธรรมชาติซึ่งปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์มหาศาลอันเป็นสาเหตุโลกร้อน ตัวอย่างพลังงานทดแทนที่สำคัญเช่น พลังงานลม, พลังงานน้ำ, พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง, พลังงานคลื่น, พลังงานความร้อนใต้พิภพ, เชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นต้น ในปี 2555 ประเทศไทยใช้พลังงานทดแทนเพียง 18.2% ของพลังงานทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เพียง 1.8% โดยที่พลังงานแสงอาทิตย์ และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพิ่มขึ้น 23% แต่ พลังงานจาก ฟืน ถ่าน แกลบ และวัสดุเหลือใช้ทางเกษตร โดยนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงดั้งเดิม มีอัตราลดลง 10% (อาจเป็นเพราะมวลชีวภาพดังกล่าวถูกแปรรูปไปเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพไปแล้ว)
    พลังงานทดแทนอีกประเภทหนึ่งเป็นพลังงานที่ถูกทำขึ้นใหม่(renewable)ได้อย่างต่อเนื่อง (เช่นมวลของลมกลุ่มแรกผ่านกังหันลมไป มวลของลมกลุ่มใหม่ก็ตามมาอย่างต่อเนื่องเป็นต้น) เรียกว่า พลังงานหมุนเวียน (Renewal Energy) ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม น้ำ และไฮโดรเจน เป็นต้น (บางตำราว่า มวลชีวภาพ ก็เป็นพลังงานหมุนเวียน ขึนกับว่า ทำใหม่ได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่)
ตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน 15 ปี ระหว่าง 2555-2564 มีแผนที่จะให้มีการใช้พลังงานทดแทนเป็นสัดส่วน 20% ของพลังงานทั้งหมด การศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นการศึกษา ค้นคว้า ทดสอบ พัฒนา และสาธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่นๆ เพื่อให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม
    สำหรับผู้ใช้ในเมือง และชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าว ยังรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์เพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย งานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรงภายใต้แผนงานนี้คือ โครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงาน และมีความเชื่อมโยงกับแผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทนจะเป็นงานประจำที่มีลักษณะการดำเนินงานของกิจกรรมต่างๆ ในเชิงกว้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ทั้งในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอุปกรณ์เครื่องมือทดลอง และการทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุน และรองรับความพร้อมในการจัดตั้งโครงการใหม่ๆ ในโครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงานและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น การติดตามความก้าวหน้าและร่วมมือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น และเป็นงานส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่กำลังดำเนินการให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการที่เสร็จสิ้นแล้วได้นำผลไปดำเนินการส่งเสริม และเผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมต่อไป
 

ประเภทของพลังงานทดแทน

    ในปัจจุบันเรื่องพลังงานเป็นปัญหาใหญ่ของโลก และนับวันจะมีผลกระทบรุนแรงต่อมวลมนุษยชาติมากขึ้นทุกที การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการร่วมหาหนทางแก้ไข ทำการศึกษา ค้นคว้า สำรวจ ทดลอง ติดตามเทคโนโลยีอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนำพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีใหม่ๆในด้านพลังงานทดแทนเข้ามาใช้ในประเทศไทยต่อไป โดยคำนึงถึงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมซึ่งพอจะจำแนกประเภทของพลังงานทดแทนได้ดังนี้

พลังงานแสงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์ให้พลังงานจำนวนมหาศาลแก่โลกของเรา พลังงานจากดวงอาทิตย์จัดเป็นพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญที่สุด เป็นพลังงานสะอาดไม่ทำปฏิกิริยาใดๆอันจะทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เซลล์แสงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็คทรอนิคส์ชนิดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า เนื่องจากสามารถเปลี่ยนเซลล์แสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง ส่วนใหญ่เซลล์แสงอาทิตย์ทำมาจากสารกึ่งตัวนำพวกซิลิคอน มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้สูงถึง 44 เปอร์เซนต์
ในส่วนของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ในเกณฑ์สูง พลังงานโดยเฉลี่ยซึ่งรับได้ทั่วประเทศประมาณ 4 ถึง 4.5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรต่อวัน ประกอบด้วยพลังงานจากรังสีตรง (Direct Radiation) ประมาณ 50 เปอร์เซนต์ ส่วนที่เหลือเป็นพลังงานรังสีกระจาย (Diffused Radiation) ซึ่งเกิดจากละอองน้ำในบรรยากาศ(เมฆ) ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าบริเวณที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรออกไปทั้งแนวเหนือ - ใต้

ภาพจาก :
 
 
ภาพจาก:
 

พลังงานลม

เป็นพลังงานธรรมชาติที่เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ 2 ที่ ซึ่งสะอาดและบริสุทธิ์ใช้แล้วไม่มีวันหมดสิ้นไปจากโลก ได้รับความสนใจนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกัน กังหันลมก็เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่สามารถนำพลังงานลมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยเฉพาะในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในการสูบน้ำ ซึ่งได้ใช้งานกันมาแล้วอย่างแพร่หลายพลังงานลมเกิดจากพลังงานจากดวงอาทิตย์ตกกระทบโลกทำให้อากาศร้อน และลอยตัวสูงขึ้น อากาศจากบริเวณอื่นซึ่งเย็นและหนาแน่นมากกว่าจึงเข้ามาแทนที่ การเคลื่อนที่ของอากาศเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เกิดลม และมีอิทธิพลต่อสภาพลมฟ้าอากาศในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวฝั่งทะเลอันดามันและด้านทะเลจีน(อ่าวไทย) มีพลังงานลมที่อาจนำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะพลังงานกล (กังหันสูบน้ำกังหันผลิตไฟฟ้า) ศักยภาพของพลังงานลมที่สามารถ นำมาใช้ประโยชน์ได้สำหรับประเทศไทย มีความเร็ว อยู่ระหว่าง 3 - 5 เมตรต่อวินาที และความเข้มพลังงานลมที่ประเมินไว้ได้อยู่ระหว่าง 20 - 50 วัตต์ต่อตารางเมตร
 
 
 
 
พลังงานความร้อนใต้พิภพ
พลังงานความร้อนใต้พิภพ [Geothermal - Geo (พื้นดิน) Thermal (ความร้อน)] หมายถึงการใช้งานอย่างหนักจากความร้อนด้านในของโลก แกนของโลกนั้นร้อนอย่างเหลือเชื่อ โดยร้อนถึง 5,500 องศาเซลเซียส (9,932 องศาฟาเรนไฮท์) จากการประมาณการเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าแม้แต่พื้นผิว 3 เมตรด้านบนสุดของโลกก็มีอุณหภูมิใกล้เคียง 10-26 องศาเซลเซียส (50-60 องศาฟาเรนไฮท์) อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี นอกจากนี้กระบวนการทางธรณีวิทยาที่แตกต่างกันทำให้ในบางที่มีอุณหภูมิสูงกว่ามาก
  • นำความร้อนมาใช้งาน
ในที่ที่แหล่งเก็บน้ำร้อนจากความร้อนใต้พิภพอยู่ใกล้ผิวโลก น้ำร้อนนั้นสามารถส่งผ่านท่อโดยตรงไปยังที่ทีต้องการใช้ความร้อน นี่เป็นวิธีการหนึ่งที่ความร้อนใต้พิภพสามารถใช้ทำน้ำร้อนในการทำความร้อนให้บ้าน ทำให้เรือนกระจกอุ่นขึ้น และแม้แต่ละลายหิมะบนถนน
แม้ในสถานที่ที่ไม่มีแหล่งเก็บความร้อนใต้พิภพที่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย เครื่องปั๊มความร้อนจากพื้นดินสามารถส่งความร้อนสู่พื้นผิวและสู่อาคารได้ สิ่งนี้เป็นไปได้ในทุกแห่ง นอกจากนี้เนื่องจากอุณหภูมิใต้ดินนั้นเกือบคงที่ทั้งปี ทำให้ระบบเดียวกันนี้ที่ช่วยส่งความร้อนให้อาคารในฤดูหนาวจึงสามารถทำความเย็นให้อาคารในฤดูร้อนได้
  • การผลิตกระแสไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพใช้บ่อน้ำความลึกสูงสุด 1.5 กิโลเมตร (1 ไมล์) หรือลึกกว่านั้น ในบางครั้งเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งสำรองน้ำจากความร้อนใต้พิภพที่กำลังเดือด โรงไฟฟ้าบางแห่งใช้ไอน้ำจากแหล่งสำรองเหล่านี้โดยตรงเพื่อทำให้ใบพัดหมุน ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆ ปั๊มน้ำร้อนแรงดันสูงเข้าไปในแท็งก์น้ำความดันต่ำ ทำให้เกิด "ไอน้ำชั่วขณะ" ซึ่งใช้เพื่อหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โรงไฟฟ้าสมัยใหม่ใช้น้ำร้อนจากพื้นดินเพื่อทำความร้อนให้กับของเหลว เช่น ไอโซบิวทีน ซึ่งเดือดที่อุณหภูมิต่ำกว่าน้ำ เมื่อของเหลวชนิดนี้ระเหยเป็นไอและขยายตัว มันจะทำให้ใบพัดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุน
  • ข้อดีของพลังความร้อนใต้พิภพ
ปั๊มน้ำมันก๊าซไฮโดรเจนในเมืองเรย์จาวิก ซึ่งเริ่มจ่ายเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ให้กับรถบัส 3 คัน เชื้อเพลิงนี้ผลิตขึ้นจากน้ำที่ใช้พลังความร้อนใต้พิภพ ซึ่งอุดมสมบูรณ์ในประเทศไอซ์แลนด์
การผลิตพลังความร้อนใต้พิภพแทบไม่ก่อมลพิษหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาเลย พลังงานนี้เงียบและน่าเชื่อถืออย่างที่สุด โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพผลิตพลังงานประมาณ 90% ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับ 65-75% ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล
แต่โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าหลายประเทศมีแหล่งสำรองความร้อนใต้พิภพที่อุดมสมบูรณ์ แต่แหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ได้รับการพิสูจน์ว่าดีแล้วนี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่ำมาก

น้ำร้อนที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าแล้วนั้น แม้อุณหภูมิจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการอบแห้ง และใช้ในห้องเย็นสำหรับเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรได้ นอกจากนั้น น้ำที่เหลือใช้แล้วยังสามารถนำไปใช้ในกิจการเพื่อกายภาพบำบัด และการท่องเที่ยวได้อีก ท้ายที่สุดคือ น้ำทั้งหมดซึ่งยังมีสภาพเป็นน้ำอุ่นอยู่เล็กน้อย จะถูกปล่อยลงไปผสมกับน้ำตามธรรมชาติในลำน้ำ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำให้กับเกษตรกรในฤดูแล้งได้อีกทางหนึ่งด้วย
  • ข้อควรระวังจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ
พลังงานความร้อนใต้พิภพ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตามการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานความร้อนนี้ แม้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ควรทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจและหาทางป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดตามมาได้ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถสรุปได้ดังนี้
- ก๊าซพิษ โดยทั่วไปพลังงานความร้อนที่ได้จากแหล่งใต้พิภพ มักมีก๊าซประเภทที่ไม่สามารถรวมตัว ซึ่งก๊าซเหล่านี้จะมีอันตรายต่อระบบการหายใจหากมีการสูดดมเข้าไป ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกำจัดก๊าซเหล่านี้โดยการเปลี่ยนสภาพของก๊าซให้เป็นกรด โดยการให้ก๊าซนั้นผ่านเข้าไปในน้ำซึ่งจะเกิด ปฏิกิริยาเคมีได้เป็นกรดซัลฟิวริกขึ้น โดยกรดนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
- แร่ธาตุ น้ำจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในบางแหล่ง มีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ ละลายอยู่ในปริมาณที่สูงซึ่งการนำน้ำนั้นมาใช้แล้วปล่อยระบายลงไปผสมกับแหล่งน้ำธรรมชาติบนผิวดินจะส่งผลกระทบต่อระบบน้ำผิวดินที่ใช้ในการเกษตรหรือใช้อุปโภคบริโภคได้ ดังนั้นก่อนการปล่อยน้ำออกไป จึงควรทำการแยกแร่ธาตุต่างๆ เหล่านั้นออก โดยการทำให้ตกตะกอนหรืออาจใช้วิธีอัดน้ำนั้นกลับคืนสู่ใต้ผิวดินซึ่งต้องให้แน่ใจว่าน้ำที่อัดลงไปนั้นจะไม่ไหลไปปนกับแหล่งน้ำใต้ดินธรรมชาติที่มีอยู่ ความร้อนปกติน้ำจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่ผ่านการใช้ประโยชน์จากระบบผลิตไฟฟ้าแล้วจะมีอุณหภูมิลดลง แต่อาจยังสูงกว่าอุณหภูมิของน้ำในแหล่งธรรมชาติเพราะยังมีความร้อนตกค้างอยู่
ดังนั้นก่อนการระบายน้ำนั้นลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติควรทำให้น้ำนั้นมีอุณหภูมิเท่าหรือใกล้เคียงกับอุณหภูมิของน้ำในแหล่งธรรมชาติเสียก่อน โดยอาจนำไปใช้ประโยชน์อีกครั้งคือการนำไปผ่านระบบการอบแห้งหรือการทำความอบอุ่นให้กับบ้านเรือน
- การทรุดตัวของแผ่นดิน ซึ่งการนำเอาน้ำร้อนจากใต้ดินขึ้นมาใช้ ย่อมทำให้ในแหล่งพลังงานความร้อนนั้นเกิดการสูญเสียเนื้อมวลสารส่วนหนึ่งออกไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดินขึ้นได้ ดังนั้นหากมีการสูบน้ำร้อนขึ้นมาใช้ จะต้องมีการอัดน้ำซึ่งอาจเป็นน้ำร้อนที่ผ่านการใช้งานแล้วหรือน้ำเย็นจากแหล่งอื่นลงไปทดแทนในอัตราเร็วที่เท่ากัน เพื่อป้องกันปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดิน
 

เชื้อเพลิงชีวภาพ

ได้แก่ การนำของเสียจากสิ่งมีชีวิตเช่นขยะที่เป็นสารอินทรีย์หรือมูลสัตว์ไปหมัก ให้ย่อยสลายโดยปราศจากอ๊อกซิเจน จะได้ก๊าซ มีเทน ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู วัวควาย และสัตว์ปีก ได้ใช้เทคโนโลยีที่ทำขึ้นเอง ผลิตก๊าซชีวภาพมาใช้ในครัวเรือนมากขึ้น ทำให้ลดการใช้พลังงานฟอสซิลได้เป็นจำนวนมาก เกษตรกรบางส่วนยังขายมูลสัตว์ให้กับโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อการพานิชย์ด้วย นอกจากนี้ยังรวมถึงของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น เปลือกสับปะรดจากโรงงานสับปะรดกระป๋อง หรือน้ำเสียจากโรงงานแป้งมัน ที่เอามาหมักและผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ

พลังงานชีวมวล

เชื้อเพลิงที่ได้จากสิ่งมีชีวิตเช่น ไม้ฟืน แกลบ กากอ้อย เศษไม้ เศษหญ้า เศษเหลือทิ้งจากการเกษตร เหล่านี้ใช้เผาให้ความร้อนได้ เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพแบบของแข็ง และความร้อนนี้แหละที่เอาไปปั่นไฟ โดยเหตุที่ประเทศไทยทำการเกษตรอย่างกว้างขวาง วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ชานอ้อย กากมะพร้าว ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก (เทียบได้น้ำมันดิบปีละไม่น้อยกว่า 6,500 ล้านลิตร) ก็ควรจะใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้
ในกรณีของโรงเลื่อย โรงสี โรงน้ำตาลขนาดใหญ่ อาจจะยินยอมให้จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าต่างๆในประเทศ ในลักษณะของการผลิตร่วม (Co-generation) ซึ่งมีใช้อยู่แล้วหลายแห่งในต่างประเทศโดยวิธีดังกล่าวแล้วจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานในประเทศสำหรับส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้นทั้งนี้อาจจะรวมถึงการใช้ไม้ฟืนจากโครงการปลูกไม้โตเร็วในพื้นที่นับล้านไร่ ในกรณีที่รัฐบาลจำเป็นต้องลดปริมาณการปลูกมันสำปะหลัง อ้อย เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวทางด้านการตลาดของพืชทั้งสองชนิด อนึ่ง สำหรับผลิตผลจากชีวมวลในลักษณะอื่นที่ยังใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เช่น แอลกอฮอล์ จากมันสำปะหลัง ก๊าซจากฟืน(Wood gas) ก๊าซจากการหมักเศษวัสดุเหลือจากการเกษตร และขยะชุมชน (ก๊าซชีวภาพ) หากมีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ก็อาจนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าได้เช่นกัน

พลังงานน้ำ

พื้นผิวโลกถึง 70 เปอร์เซนต์ ปกคลุมด้วยน้ำ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย น้ำเหล่านี้มีการเปลี่ยนสถานะและหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ระหว่างผิวโลกและบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า วัฏจักรของน้ำ น้ำที่กำลังเคลื่อนที่มีพลังงานสะสมอยู่มาก และมนุษย์รู้จักนำพลังงานนี้มาใช้หลายร้อยปีแล้ว เช่น ใช้หมุนกังหันน้ำ ปัจจุบันมีการนำพลังงานน้ำไปหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า

พลังงานจากขย

ขยะชุมชนจากบ้านเรือนและกิจการต่างๆ เป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูง ขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมวลชีวภาพ เช่น กระดาษ เศษอาหาร และไม้ ซึ่งสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าที่ถูกออกแบบให้ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงได้ โรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง จะนำขยะมาเผาบนตะแกรง ความร้อนที่เกิดขึ้นใช้ต้มน้ำในหม้อน้ำจนกลายเป็นไอน้ำเดือด ซึ่งจะไปเพิ่มแรงดันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าพลังงานจากขยะ

ประเทศไทยประสบปัญหาการจัดการขยะชุมชนมาช้านาน จากการเติบโตทางด่านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้เกิดปัญหาขยะเพิ่มมากขึ้น ในระยะแรกการฝังกลบเป็นวิธีที่นิยมกันมา แต่ปัจจุบันพื่นที่สำหรับฝังกลบหายากขึ้น และบ่อฝังกลบยังก่อให้เกิดมลภาวะตามมา น้ำเสียจากกองขยะ ทำให้น้ำบนดินและน้ำบาดาลไม่สามารถนำมาบริโภคได้ อีกทั้งกลิ่นเหม็นจากกองขยะก็รบกวนความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
จากปัญหาการฝังกลบขยะทำได้ยากขึ้น การกำจัดโดยการเผา เป็นวิธีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และเป็นประโยชน์จากขยะมากที่สุด น่าจะเป็นทางเลือกที่นำมาใช้

ปริมาณขยะที่มากมายนี้ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของสังคมมากมาย การคัดแยกขยะจะมีส่วนช่วยลดปริมาณขยะในส่วนที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ประหยัดงบประมาณในการทำลายขยะ สงวนทรัพยากร ประหยัดพลังงานและช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้ ประเทศไทยมีปริมาณขยะชุมชนเพิ่มขึ้นโดยตลอด หากไม่มีการนำขยะไปใช้ประโยชน์ ในสัดส่วนที่มากขึ้นในปี 2558 จะมีปริมาณขยะต่อวันถึง 49,680 ตัน หรือ 17.8 ล้านตัน ต่อปีปัจจุบันมีการคิดค้นเทคโนโลยีกำจัดขยะที่สามารถแปลงขยะเป็นพลังงานและใช้ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้แก่
  • เทคโนโลยีการฝังกลบ และระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะ (Landfill Gas to Energy)
  • เทคโนโลยีการเผาขยะ(Incineration)
  • เทคโนโลยีการผลิตก๊าชเชื้อเพลิงจากขยะชุมชน (Municipal Solid Waste or MSW)โดยการแปรสภาพเป็นแก๊ส(Gasification)
  • เทคโนโลยีย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) หรือการหมัก
  • เทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงขยะ(Refuse Derived Fuel : RDF) โดยการทำให้เป็นก้อนเชื้อเพลิง
  • เทคโนโลยีพลาสมาอาร์ก (Plasma Arc) ใช้ความร้อนสูงมากๆจากการอาร์ค
  • เทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง เช่นวิธีการ pyrolysis (การกลั่นและการสลายตัวของสารอินทรีย์ในรูปของของแข็งที่อุณหภูมิ ประมาณ 370-870 องศาเซลเซียส ในภาวะไร้อากาศ)


ข้อดีของการผลิตไฟฟ้าจากขยะ คือ เป็นแหล่งพลังงานราคาถูก ช่วยลดปัญหาการกำจัด ขยะแต่ก็มีข้อจำกัดเช่น โรงไฟฟ้าขยะมักได้รับการต่อต้านจากชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง เทคโนโลยีบางชนิดใช้เงินลงทุนสูง มีค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะให้เหมาะสมก่อนนำไปแปรรูปเป็นพลังงาน ต้องมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการกับฝุ่นควันและสารที่เกิดขึ้นจากการเผาขยะ อีกทั้งข้อจำกัดทางด้านการเป็นเจ้าของขยะ เช่น ผู้ลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าอาจไม่ใช่เจ้าของขยะ (เทศบาล) ทำให้กระบวนการเจรจาแบ่งสรรผลประโยชน์มีความล่าช้า

โดยเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงไฟฟ้าก็คือ แก๊สมีเทน ซึ่งได้มาจากการย่อยสลายของกองขยะและสิ่งปฏิกูลตามธรรมชาติ ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยแก๊สที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกจากการเผา และยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (Fossil fuel) ที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยทางประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่า โรงไฟฟ้าพลังงานขยะจะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันของประเทศได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1.37 ล้านตันต่อปี
ที่เมืองบัลโม ประเทศสวีเดน ไฟฟ้าที่ใช้ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ มาจากการเผาขยะ โรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง จะนำขยะมาเผาบนตะแกรง ความร้อนที่เกิดขึ้นใช้ต้มน้ำในหม้อน้ำจนกลายเป็นไอน้ำเดือด ซึ่งจะไปหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เหมือนกับโรงไฟฟ้าอื่นๆ)
"ที่ผ่านมาเรารวบรวมขยะ คัดแยก และปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำขยะชนิดต่าง ๆ เข้าสู่การรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ แต่จะมีขยะอีกจำนวนที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ แต่พอมีโรงงานไฟฟ้า ปัญหาดังกล่าวหมดไป เพราะขยะต่าง ๆ จะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงขยะ (refuse derived fuel) ที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ ให้เกิดค่าความร้อนสูง นับเป็นการสำรองพลังงานไว้ใช้ ซึ่งหัวใจหลักของพลังงานสะอาดอยู่ที่ความสามารถในการรวบรวมไว้ แบบประหยัด และปรับปรุงคุณภาพให้ได้ความร้อนที่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากนั้นเข้าสู่การปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงทดแทน ที่มีคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง ด้วยมาตรการการควบคุมมลพิษที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ไฟฟ้าที่ได้จากเชื้อเพลิง RDF มีความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าถึง 1 เมกกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานได้ในชุมชนขนาดเล็กถึง 300 หลังคาเรือน นับเป็นพลังงานสะอาดที่มีค่าความร้อนสูง และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เตาเผาชีวมวล ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะไม่ว่าจะจากอะไรก็แล้วแต่ มันต้องใช้เตาเผาระบบปิดซึ่งก็มีหลากหลายแบบซึ่งขึ้นกับการออกแบบให้สอดคล้องกับวัตถุดิบที่จะนำไปเข้าเตา เพื่อที่จะได้ควบคุมปริมาณแก๊สที่ได้จากการเผาในอุณหภูมิสูง โดยแก๊สที่ผลิตได้เราเรียกรวมๆกันว่าแก๊สชีวมวล หรือ จะเรียกว่าซินแก๊ส Syngas ก็ได้ครับ แต่ผมชอบคำหลังมากกว่า โดยทั่วไปในการผลิต Syngas เราจะได้แก๊สมีเทน, คาร์บอนไดออกไซด์, ไฮโดรเจน, คาร์บอนมอนอกไซด์ รวมไปถึงน้ำด้วย ตามหลักการสันดาปแล้วในการเผาไหม้อะไรก็แล้วแต่จะจำแนกได้เป็นสองแบบคือ สันดาปแบบสมบูรณ์ กับไม่สมบูรณ์ ใช่ไหมครับ ซึ่งในการเผาไหม้จะออกมารูปไหนก็แล้วแต่ปริมาณออกซิเจน (ก๊าซช่วยให้ไฟติด) ถ้ามีมากเกินพอจะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถ้ามีน้อยเราก็จะได้ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาด้วย
  • พลังงานจากสาหร่าย
เมื่อเปรียบเทียบน้ำมันที่สกัดจากสาหร่ายกับน้ำมันจากปาล์ม จะพบว่า สาหร่ายสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่าปาล์มถึง 100 เท่า ส่วนกากสาหร่ายที่เหลือจากการสกัดน้ำมัน ยังสามารถแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูงได้อีกด้วย พลังงานจากสาหร่ายจึงเป็นอนาคตของพลังงานที่น่าสนใจ และปลอดภัยกับโลกของเรา

ข้อมูลทั่วไป

  • ในปี 2550 ทั่วโลก มีการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 240 GW เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2547 หรือ 3.4% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด หรือประมาณ 1 ใน 4 ของไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ ในจำนวนนี้ เป็นพลังงานลมมากที่สุด 95 GW ในปี 2555 มีการติดตั้งพลังงานลมรวม 282 GWโดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี
  • เทคโนโลยีในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก คือ ไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ เติบโตถึง 50% ต่อปี ในปี 2550 มีเซลล์แสงอาทิตย์ ติดตั้งบนหลังคาบ้านถึง 1.5 ล้านหลัง



ประโยชน์ของพลังงานทดแทน

1. ด้านเศรษฐกิจ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวดีขึ้นเนื่องจากประชากรไทยในประเทศหันมาใช้ผลผลิตทางธรรมชาติที่ผลอตได้เองภายในประเทศทดแทนการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงต่างประเทศ
2. ด้านผลผลิตทางการเกษรตร ส่งผลให้ผลิตทางการเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายขึ้น นอกเหนือจากใช้เป็นพืชอาหาร นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเศษเหลือจากการผลิตพืชอาหาร อาทิ แกลบ และชานอ้อย สามารถนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้ทั้งสิ้น สามารถสร้างรายได้ทางการเกษตรภายในประเทศ
3. ด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานทดแทนช่วยลดมลพิษที่เกิดจากใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ได้จากฟอสซิล อาทิ ลดมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง
4. ด้านสาธารณูปโภค สามารถใช้พลังงานทดแทนมาช่วยอำนวยความสะดวกในด้านสาะรณูปโภคได้ อาทิ การผลิตไฟฟ้าใช้ภายในชุมชนจากพลังงานแสงอาทิตย์
 
 
อ้างอิงข้อมูลจาก:
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99
 

 
 

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การรักษาท้องทะเล

 
 
 
 
    ทะเลของเราทุกวันนี้กำลังตกอยู่ในปัญหา ประชากรปลาของโลกลดลงไปถึงเกือบร้อยละ 90 ปะการังทั่วโลกตายไปถึงหนึ่งในสาม เขตมรณะในมหาสมุทธ หรือ Dead Zone ขยายพื้นที่ไปตามบริเวณต่างๆ ทั่วโลก แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะอยู่ในขั้นวิกฤติ แต่ก็ยังมีอีกหลายๆ เหตุผลที่ทำให้มนุษยชาติยังคงมีความหวังในการที่จะหาทางแก้ไขปัญหา และกู้มหาสมุทรของเรากลับคืนมา OSTC ขอนำเสนอ บทความชุด “7วิธี รักษาท้องทะเลเพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงปัญหา และวิธีการแก้ไข ก่อนที่จะเสียทรัพยากรทะเลอย่างไม่มีวันย้อนคืนกลับมา
 
 
      
1. หยุดเติมสารพิษลงสู่ท้องทะเล
 
     มลภาวะทางทะเลมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่น้ำมันหลายล้านแกลลอนที่รั่วไหลมาจากถนนหนทาง จนถึง
แพขยะใหญ่แปซิฟิก (Great Pacific Garbage Patch) แต่มลพิษที่เลวร้ายที่สุดคือ ก๊าซไนโตรเจน
และสารฟอสฟอรัสที่มาจากปุ๋ยและสิ่งปฏิกูล เมื่อก๊าซและสารเหล่านั้นถูกชะล้างไหลลงสู่ทะเลชายฝั่ง
สาหร่ายทะเลเมื่อได้รับก๊าซและสารเหล่านั้นก็จะเติบโตอย่างหนาแน่น เมื่อสาหร่ายตายและย่อยสลาย
ก๊าซออกซิเจนในน้ำจะถูกดึงนำมาใช้ และทำให้สัตว์น้ำขาดออกซิเจนและตายไป ปรากฏการณ์นี้มี
ชื่อว่าปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีหรือ “Eutrophication” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดเขต
มรณะอย่างน้อย 450 แห่งทั่วโลก
     สิ่งปฏิกูลจากมนุษย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในประเทศที่กำลัง
พัฒนา แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป และสาธารณะรัฐประชาชนจีน สิ่งปฏิกูล
จากสัตว์และปุ๋ยเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เฉพาะในเขตสหรัฐฯ ไก่จำนวน 10 ล้านตัว โค 80 ล้านตัว
และสุกร 149 ล้านตัว ผลิตมูลสัตว์จำนวน 500 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์อีก
55 ล้านตัน ปฏิกูลและปุ๋ยเหล่านี้จะถูกชะล้างลงสู่พื้นที่ลุ่ม ผลที่เกิดขึ้นคือเขตมรณะที่ใหญ่ที่สุด
ของโลกเริ่มแผ่ขยายจากปากแม่น้ำมิซซิสซิปปี้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงฤดูเกษตรกรรม
ในเขตตะวันออกกลางของสหรัฐฯ เขตมรณะอาจจะขยายใหญ่ได้เท่ากับรัฐนิวเจอร์ซีย์
(22,500 ตารางกิโลเมตร)

     ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีสามารถผันกลับได้ ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ทะเลดำ (The
Black Sea) เป็นบริเวณเขตมรณะที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย
เกษตรกรในเขตประเทศเหล่านั้นไม่สามารถที่จะหาซื้อปุ๋ยสังเคราะห์ได้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙
เขตมรณะได้หายไปโดยสิ้นเชิง

     กระบวนการผันกลับเดียวกันสามารถเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีประเทศใดล่มสลาย การพัฒนาระบบ
บำบัดน้ำเสีย และข้อจำกัดต่างๆ ในการใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์สามารถช่วยได้ อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วย
ได้มากคือการไถพรวน ในช่วงเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา เกษตรกรได้ใช้วิธีการทำการเกษตร
แบบไม่ต้องไถพรวน (No-till method) ในเขตพื้นที่เกษตรกรรมร้อยละ 36 ของพื้นที่ทั้งหมดในสหรัฐฯ
เกษตรกรปล่อยให้โคนต้นไม้และรากไม้จากฤดูเกษตรในปีก่อนไว้ในพื้นที่ จากนั้นหว่านเมล็ดพืชด้วย
เครื่องหว่านเมล็ดพืชรุ่นใหม่ และฝั่งปุ๋ยใต้ผิวดินด้วยเครื่องฉีดปุ๋ยแบบใหม่ ด้วยวิธีนี้ เกษตรกรช่วยลด
ปริมาณการปล่อยสารฟอสฟอรัสถึงร้อยละ 40 ก๊าซไนโตรเจนถึงร้อยละ 98 ประหยัดการใช้พลังไปได้
ถึงครึ่งหนึ่ง โดยที่ได้ผลทางการเกษตรเช่นเดิม David R. Montgomery ผู้เขียนหนังสือชื่อ
Dirt: The Erosion of Civilizations กล่าวว่าอย่างไรก็ตาม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงแค่ร้อยละ 5 ของ
พื้นที่ทั้งหมดในโลกใช้วิธีการเกษตรแบบไม่ต้องไถพรวน คงจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ หากมีการนำการ
เกษตรกรรมวิธีนี้ไปใช้ในพื้นที่ที่เหลือ

2. เพิ่มราคาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
     เมื่อสองศตวรรษที่ผ่านมา คุณสมบัติทางเคมีของมหาสมุทรมีการเปลี่ยแปลงในหลายๆ ด้าน เช่น
น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้นถึงร้อยละ 30 ถึงแม้ว่าจะไม่มากพอที่จะเผาไหม้ผิวหนังของมนุษย์
(ซึ่งก็เป็นไปได้ในอีกไม่นานนี้) แต่น้ำทะเลก็มีความเป็นกรดมากพอที่จะกัดกร่อนกระดองหรือ
เปลือกแข็งของสัตว์ทะเลหลายๆ ชนิด ซึ่งส่งผลร้ายแรงแก่ระบบนิเวศน์ทางทะเลทั้งหมด
     ตัวอย่างผลกระทบดังกล่าว เช่น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ Pteropods หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
จำพวกหอยกาบเดี่ยวซึ่งเป็นสัตว์สำคัญในห่วงโซ่อาหารของมหาสมุทรแถบขั้วโลกมีเปลือกที่บาง
ลงอย่างชัดเจน จากการทดลอง เปลือกของ Pteropods จะหายไปโดยสิ้นเชิงหากน้ำทะเลมีความ
เป็นกรดมากกว่านี้ ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์พบว่าในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตกเฉียง
เหนือมีความเป็นกรดและส่งผลกระทบรุนแรงแก่ไข่ของหอยนางรม และแน่นอนหากน้ำทะเลมีความ
เป็นกรดมากขึ้นๆ พันธุ์ปลา ระบบนิเวศน์และปะการังที่กำลังจะสูญพันธุ์อื่นๆ ก็จะเป็นรายต่อไป

     สาเหตุที่ทำให้น้ำทะเลเป็นกรดเป็นสิ่งที่เราทราบกันดี ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น
มหาสมุทรได้ดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่าหนึ่งในสี่ส่วนของก๊าซทั้งหมดที่มนุษย์ปล่อยไป
ยังบรรยากาศ เดิมที พวกเราคิดว่าการที่มหาสมุทรช่วยดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเรื่องที่ดี
ช่วยต่อเวลาในการเกิดภาวะโลกร้อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะต้องชดเชยกับเวลาที่เราได้มา
เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผสมกับน้ำทะเลจะทำให้เกิดกรดคาร์บอนิก (Carbonic acid)
ครั้งเกิดภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 65 ปีที่แล้ว เป็นครั้งหลังสุดที่มหาสมุทรถูกทำให้มีความเป็นกรดอย่าง
รุนแรง แต่ถึงกระนั้น พันธุ์สัตว์ต่างๆ ที่รอดชีวิต มีเวลาเป็นร้อยปีในการปรับตัว ซึ่งเป็นเวลาที่
มากมายกว่าเวลาที่สัตว์ทะเลในยุคปัจจุบันมี หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น

    ไม่มีทางออกที่ง่ายสำหรับปัญหานี้ วิศวกรทางธรณีได้เสนอให้มีการใส่หินปูนจำนวน 300 พันล้าน
ลูกบากศ์ฟุตลงในมหาสมุทร เปรียบเสมือนการให้ยาลดกรดจำนวนมหาศาลแก่ทะเล แต่การที่จะทุ่ม
เงินและกำลังผลิตเพื่อผลิตหินปูนจำนวนมากขนาดนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ การแก้ไขปัญหาด้วยวิธี
ดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบข้างเคียง และอาจจะส่งผลดีเพียงชั่วคราวเท่านั้น แล้วอะไรคือ
ทางรักษาที่ดีที่สุด? คำตอบคือการลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ปัญหาคือแม้ว่า
ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการออกรหัสภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ
พลังงานที่ได้จากการเผาฟอสซิลก็ยังมีราคาที่ถูกกว่า ราคาที่ถูกกว่านี้ ไม่คำนวนถึงความเสียหายของ
สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย
     เราควรมีวิธีการคำนวณราคาที่แท้จริงอย่างไร? Hauke Kite-Powell นักวิจัยจาก Woods Hole
OceanographicInstitution ในรัฐ Massachusetts กล่าวว่า การคำนวนภาษีการปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นวิธีที่น่าสนใจหากกำหนดให้ผู้ประกอบการจ่ายเงินค่าปรับเป็นจำนวน
12.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 1 ตัน จะสามารถช่วยลด
การปล่อยก๊าซดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 30 หรือช่วยลดปริมาณสารพิษที่จะถูกปล่อยลงมหาสมุทร
ได้ถึง 214 ล้านตัน แม้ว่าการลดปริมาณการปล่อยสารพิษนี้ไม่สามารถหยุดกระบวนการเพิ่มความ
เป็นกรดของน้ำทะเลได้ แต่เป็นการซื้อเวลาซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการอย่างมากในขณะนี้ให้กับท้องทะเล
และให้กับมนุษย์ชาติ

3. ซ่อมแซมวัฏจักรของน้ำ
     วัฏจักรของน้ำคือการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากการระเหยของน้ำทะเล (หรือแหล่งน้ำอื่นๆ) จากนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน และระเหยกลับเป็นไออีกครั้ง เมื่อสภาวะอากาศของโลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นวัฏจักรของน้ำก็มีความเข้มข้นมากขึ้น พื้นผิวของมหาสมุทรทั่วโลกมีเข้มข้นของเกลือมากขึ้น ทำให้การกำเนิดฝนขาดความสมดุล ไอระเหยของน้ำส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจะกลายเป็นฝนและตกในพื้นที่ที่มีความชื้นมากพออยู่แล้ว เช่น พื้นที่ป่าเขตร้อน และแถบสแกนดิเนเวีย ส่งผลให้เกิดพายุที่รุนแรงขึ้นและน้ำท่วมถี่มากขึ้นในเขตดังกล่าว ในขณะเดียวกันบริเวณทางเหนือและทางใต้ของพื้นที่เขตร้อนซึ่งเป็นบริเวณที่ค่อนข้างมีความเข้มข้นของเกลือมากกว่าบริเวณอื่นๆ อยู่แล้ว จะมีความเข้มข้นของเกลือมากขึ้นๆ และมีอุณหภูมิสูงขึ้น พื้นที่ที่มีความเข้มข้นของเกลือมากๆ เช่น พื้นที่ทะเลทราย ซึ่งเป็นบริเวณที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จะขยายบริเวณกว้างมากขึ้น

     ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเพื่อแก้ไขปัญหาความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของวัฏจักรน้ำ กลวิธีหนึ่งที่มีการดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือ Ocean Thermal Energy Conversion (OTEC) โดยในปี 1970 วิศวกรกลุ่มหนึ่งได้นำเอาแท่นขุดเจาะ (Platform-based rig) ดูดนำเอาน้ำทะเลลึกที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ขึ้นมายังบริเวณผิวน้ำซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่า ด้วยความแตกต่างของอุณหภูมิของน้ำทะเลทั้งสองตำแหน่งทำให้เครื่องจักรความร้อน (Heat Engine) ทำงานและก่อให้เกิดพลังงาน การนำกลวิธี OTEC ไปใช้ในวงกว้างอาจจะส่งผลเชิงบวกในการช่วยลดอุณหภูมิของน้ำทะเลในบริเวณนั้นๆ Ray Schmitt นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นว่าหากเราสามารถลดอุณหภูมิของน้ำทะเลได้ เราอาจจะช่วยทำให้วัฏจักรของน้ำมีความเข้มข้นลดลงได้บ้างความพยายามในการทำวิจัยเกี่ยวกับเทคนิค OTEC หยุดชะงักลงหลังจากที่โรงงานสาธิตปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2541 แต่ในขณะนี้ โครงการดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการรื้อฟื้น โดยในปี พ.ศ. 2552 กองทัพเรือของสหรัฐฯ ได้ให้เงินทุนสนับสนุนแก่ Lockheed Martin เป็นจำนวน 12.5 ล้านเหรียญเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโรงงาน OTEC ในเขตหมู่เกาะฮาวายเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า นอกจากนั้นยังมีแผนการระดับนานาชาติโดยการเริ่มสร้างโรงงานดังกล่าวในเขต Tahiti

    การดึงเอาน้ำทะเลลึกขึ้นมาสู่ผิวน้ำในเขตมหาสมุทรบริเวณที่มีความเข้มข้นของเกลือสูง อาจจะช่วยให้เกิดพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์และเหมาะกับสิ่งมีชีวิต ในปี พ.ศ. 2545 นักวิจัยจาก Tohoku University ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มทดสอบโครงการ “Perpetual Salt Fountain” หรือการนำเอาท่อที่ช่วยขนถ่ายน้ำที่มีความเข้มข้นของเกลือน้อยกว่าจากทะเลน้ำลึก มาสู่บริเวณพื้นผิวทะเลซึ่งมีความเข้มข้นของเกลือมากกว่า เมื่อน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิต่ำไหลเข้าสู่ฐานของท่อ ก็จะเริ่มอุ่นขึ้นและดันตัวขึ้นที่สูง ในระหว่างที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น น้ำทะเลยังคงรักษาความอุดมสมบูรณ์ที่ช่วยในการเติบโตของสารคลอโรฟิลล์และแพลงก์ตอนพืช ในโครงการดังกล่าว นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้ใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นท่อ PVC ความยาว 984 ฟุต และมีการติดตั้งอุปกรณ์ GPS กับท่อดังกล่าว การวิจัยถูกจัดทำที่เขต Mariana Trench ในมหาสมุทร Pacific ผลการทดสอบในเบื้องต้นให้ความหวังแก่มนุษยชาติ Shigenao Maruyama ผู้นำของกลุ่มนักวิจัยกล่าวว่า บริเวณรอบๆ ท่อของโครงการ เราพบคลอโรฟิลล์ในปริมาณมาก มากกว่าในน้ำทะเลในบริเวณรอบนอกของเขตการวิจัยถึงกว่า 100 เท่าแม้ว่าวิธีการนี้เป็นเพียงการชะลอเวลาการเกิดปรากฎการณ์โลกร้อนมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ แต่ Maruyama ก็ให้ความคิดเห็นเชิงบวกว่าวิธีการนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับท้องถิ่น และมีการวางแผนการทดลองใช้กลยุทธ์ดังกล่าวในพื้นที่ทะเลเปิด

4. หยุดยั้งพันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุก
ภาพ Tunicate

     ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ถ้าคุณดึงเชือกที่แช่อยู่ในน้ำบริเวณท่าเรือชายฝั่งของแหลม Cape Cod คุณจะพบหอยแมลงภู่ เพรียง และสาหร่ายเกาะติดขึ้นมากับเชือกเป็นจำนวนมาก แต่ในวันนี้ คุณจะพบเพียงแค่เพรียงจำพวกไม่มีกระดูกสันหลัง หรือ  Tunicate เกาะอยู่รอบๆ เชือกเท่านั้น Tunicate เป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่กำลังบุกรุกไปยังท้องทะเลทั่วโลก สัตว์จำพวกนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกโดยการติดไปกับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ นอกจาก Tunicate แล้ว พันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุกยังมี Lionfish ที่พบได้มากตามเขตตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐฯ และ Mangrove tree ในหมู่เกาะฮาวาย พันธุ์พืชและสัตว์จำพวกนี้กำลังก่อปัญหาให้กับพันธุ์พืชและสัตว์ท้องถิ่น ทั้งในด้านการแย่งชิงแหล่งอาหาร การรบกวนระบบการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตในเขตนั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสัตว์และพืชท้องถิ่น
     Tunicate เป็นตัวอย่างชัดเจนของพันธุ์สัตว์ผู้บุกรุกที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม Mary Carman นักวิจัยจากสถาบัน  Woods Hole กล่าวว่า มีการค้นพบการแพร่กระจายพันธุ์สัตว์ประเภทนี้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 ที่เขต New England ประเทศสหรัฐฯ โดยผ่านเรือขนส่งสินค้าของประเทศญี่ปุ่น Tunicate บางสายพันธุ์บุกรุกแนวหญ้าทะเลและขับไล่หอยเชลล์ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจหลักของท้องถิ่นนั้นออกไปจากพื้นที่ การกำจัด Tunicate เป็นไปได้ยาก เพราะหากไม่สามารถกำจัด Tunicate ออกไปจากพื้นที่ได้อย่างสิ้นเชิง Tunicate ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็สามารถเติบโตและแพร่กระจายต่อได้อย่างรวดเร็ว
     Jame Carlton จาก Williams College กล่าวว่า การระงับการแพร่กระจายของสัตว์จำพวกนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากๆ แม้ในบางครั้งที่การแพร่กระจายถูกค้นพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งก็มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การกำจัด Tunicate ยังทำได้ยาก ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2543 นักประดาน้ำคนหนึ่งได้สังเกตุพบพันธุ์สาหร่ายผู้บุกรุกที่เพิ่งถูกทิ้งลงไปในทะเลสาปของเขต San Diego ประเทศสหรัฐฯ ผู้รับผิดชอบต้องใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6 ปี และงบประมาณอีกจำนวน 7 ล้านเหรียญสหรัฐในการกำจัดพันธุ์สาหร่ายผู้บุกรุกไปได้
     วิธีลดปริมาณพันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุกที่ดีที่สุดสามารถทำได้โดยการป้องกันไม่ให้พันธุ์พืชและสัตว์เหล่านั้นเข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่ตอนแรก โดยส่วนมากพันธุ์พืชและสัตว์ผู้บุกรุกจะติดมากับน้ำใต้ท้องเรือขนส่งสินค้าที่เดินทางมายังประเทศสหรัฐฯ จำนวนประมาณ 1 แสนลำในทุกๆ ปี ในตอนนี้  EPA และ Coast Guard  กำลังร่างเกณฎ์บังคับเกี่ยวกับน้ำใต้ท้องเรือ โดยการกำหนดระดับจำนวนพันธุ์สัตว์และพืชที่ติดมากับน้ำใต้ท้องเรือ ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ ก็กำลังพัฒนาวิธีการจัดการกับน้ำใต้ท้องเรือเพื่อให้ผ่านเกณฎ์มาตรฐานดังกล่าว ตัวอย่างวิธีการจัดการ เช่น การใช้เครื่องกรองน้ำที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และการฉายรังสีอัลตราไวโอเลต แต่สำหรับพืชและสัตว์ผู้บุกรุกที่ตั้งรกรากแล้ว สิ่งที่ทำได้คือการจำกัดจำนวนของพืชและสัตว์นั้นๆ การบริโภคพืชและสัตว์นั้นๆ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง โดยในปี พ.ศ. 2552 The National Oceanic and Atmospheric Administration ได้จัดทำโครงการส่งเสริมให้ชาวประมงและผู้ประกอบธุรกิจอาหารนำ Lionfish มาปรุงเป็นอาหาร

5. ปกป้องแนวปะการัง



     ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แนวปะการังจำนวนถึงหนึ่งในสามของปริมาณทั้งหมดทั่วโลกถูกทำลายไป ปะการังในเขตชายฝั่งของประเทศศรีลังกา ประเทศแทนซาเนีย ประเทศเคนยา สาธารณะรัฐมัลดีฟ และสาธารณะรัฐเซเชลส์ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ถ้าหากมหาสมุทรมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นอีก 7 องศาฟาเรนไฮต์ในอีก 3 ทศวรรษข้างหน้าตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ ร้อยละ 95 ของแนวปะการังจะหายไป สาเหตุหลักของการตายของปะการังคือปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว เมื่ออุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นเชื้อแบคทีเรียในน้ำขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วและทำลายสาหร่ายทะเลที่อาศัยและมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงซึ่งกันและกันกับปะการัง โดยสาหร่ายทะเลจะเปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานซึ่งอยู่ในรูปของน้ำตาลให้กับปะการังซึ่งเป็นพืชผู้ให้อาศัย ดังนั้น เมื่อสาหร่ายตายไป ก็จะเหลือแต่ปะการังที่ขาวซีด

     ปะการังบางสายพันธุ์ใน Red Sea และ ใน Persian Gulf สามารถรอดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้ แม้ว่าจะไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่ Eugene Rosenberg นักวิทยาศาสตร์จุลชีววิทยาจาก Tel Aviv University ได้เสนอความคิดว่า แบคทีเรียที่แตกต่างสายพันธุ์ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ปะการังมีแบคทีเรียหลากหลายพันธุ์อาศัยอยู่ภายในเช่นเดียวกับร่างกายของมนุษย์ แบคทีเรียบางประเภทช่วยให้ปะการังปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้

     เมื่อน้ำทะเลใน Red Sea มีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 77 องศาฟาเรนไฮต์ แบคทีเรียที่ไม่ใช่สายพันธุ์ท้องถิ่นที่มีชื่อว่า Vibrio Coralliilyticus จะเข้าจู่โจมสาหร่ายในปะการังบางสายพันธุ์ แต่ในขณะเดียวกัน น้ำในอุณหภูมิที่เท่ากันอาจจะกระตุ้นให้แบคทีเรียในปะการังบางประเภทมีปฏิกริยาที่ช่วยปกป้องสาหร่าย นี่อาจจะช่วยอธิบายได้ว่าทำไมปะการังบางชนิดถึงไม่ถูกฟอกขาวในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง

     ขณะนี้ Rosenberg และทีมนักวิจัยกำลังพยายามศึกษาค้นคว้าหาวิธีกระตุ้นระบบป้องกันตัวให้กับปะการัง วิธีหนึ่งคือการปล่อยไวรัสที่จู่โจมแบคทีเรีย Vibrio Coralliilyticus ซึ่งผลจากห้องทดลองพบว่าไวรัสดังกล่าวสามารถทำลายแบคทีเรียฟอกขาวได้อย่างรวดเร็ว และไวรัสชนิดนี้จะยังตกค้างอยู่ในปะการังอีกประมาณ 2 เดือนก่อนที่จะตายไปหากไม่มีอาหาร

     ในช่วงฤดูร้อนนี้ แนวปะการังในเขต Great Barrier Reef และ Red Sea เป็นเป้าหมายของการเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาว Rosenberg จะเริ่มใช้วิธีการรักษาด้วยการปล่อยไวรัส หากผลที่ตามมาเป็นเช่นเดียวกับที่ได้ในห้องทดลอง ไวรัสที่ถูกปล่อยไปจะเข้าไปเกาะติดกับแบคทีเรียฟอกขาว เมื่อแบคทีเรียฟอกขาวเริ่มกัดกินปะการัง ไว้รัสก็จะเริ่มขยายพันธุ์ถึง 100 เท่าและจะเริ่มเกาะกินแบคทีเรียผู้ให้อาศัย

     หากการทดลองครั้งนี้สำเร็จ ครั้งต่อไปจะเป็นการปฏิบัติในวงกว้างมากขึ้น โดย Rosenberg กล่าวว่าด้วยของเหลวประมาณ 13 แกลลอนที่ผสมกับไว้รัสจำนวน 4 ล้านตัวต่อแกลลอน เขาก็จะสามารถรักษาปะการังได้เป็นพื้นที่ถึง 30 ไมล์ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

6. จับปลาอย่างฉานฉลาด
     ในปีที่ผ่านมา ยอดการบริโภคปลาทั่วโลกอยู่ที่เฉลี่ย 37.5 ปอนด์ หรือ 16.98 กิโลกรัมต่อคน ต่อปี ในขณะที่ปริมาณของปลาคอดและปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Bluefin Tuna) มีปริมาณลดลง สัตว์จำนวนมากตั้งแต่ปลาวาฬจนถึงเต่าทะเล ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ความต้องการในการบริโภคปลาของมนุษย์หาใช่ปัญหาไม่ แต่ปัญหาคือชาวประมงจับสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ขึ้นมาด้วยโดยที่ไม่ได้เจตนา (Bycatch) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการทำการประมงเพื่อการค้า สัตว์อื่นๆ ที่ถูกจับขึ้นมาด้วย เช่น ปะการัง ฟองน้ำ (สัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่ไม่มีกระดูกสันหลัง) ปลาดาว ฉลาม ปลาวาฬ เต่า หรือแม่กระทั่งนก การจับสัตว์อื่นๆ ติดมาด้วยเช่นนี้ ส่งผลให้สัตว์หลายๆ ชนิดใกล้ภาวะสูญพันธุ์ รายงานฉบับหนึ่งจาก United Nation รายงานว่ามีจำนวนสัตว์ที่ถูกจับขึ้นมาโดยไม่ได้เจตนามากถึง 7.5 ล้านตันต่อปี หรือเทียบได้กับร้อยละ 5 ของการจับปลาเพื่อการค้าทั้งหมด นอกจากนี้ การรายงานปริมาณ Bycatch เป็นรายงานที่ผู้ประกอบการจัดทำและส่งให้ทางการเอง ดังนั้น ตัวเลขที่ปรากฏอยู่ในรายงานหลายๆ ฉบับเป็นการรายงานที่ไม่ตรงกับความจริง เช่น การจับกุ้งที่อ่าวเม็กซิโก แท้จริงแล้วมีปริมาณ Bycatch มากถึง 5 ปอนด์ในการจับกุ้งทุกๆ 1 ปอนด์

     ข่าวดีในขณะนี้ก็คือ มีการนำเอาเทคโนโลยีการจับปลาใหม่ๆ มาใช่เพื่อลดปริมาณของ Bycatch เช่น บริษัทที่จับกุ้งหลายๆ แห่งใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Turtle-Excluding Devices ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันไม่ให้เต่าทะเลหลงเข้ามาในอวนสำหรับจับกุ้ง ที่ Florida Atlantic University รองศาสตราจารย์ Stephen Kajiura ได้พยายามปกป้องฉลามโดยการใส่ธาตุที่หายากบางชนิดไว้ในสายเชือกอวนที่ชาวประมงใช้จับปลาทูน่า เมื่อธาตุดังกล่าวทำปฏิกริยากับน้ำทะเลจะก่อให้เกิดวงกระแสแม่เหล็กขึ้นซึ่งช่วยขับไล่ปลาฉลาม รวมไปถึงปลากระเบนบางชนิด

     วิธีแก้ไขปัญหาที่จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นวิธีที่มีต้นทุนต่ำและปฏิบัติได้ง่าย Jeffry Fasick รองศาสตราจารย์แห่ง Kean University กำลังทำการศึกษาเกี่ยวกับการปกป้องปลาวาฬในเขต North Atlantic โดยการใช้เชือกหลากสีที่ปลาวาฬสามารถมองเห็นและหลีกเลี่ยงได้ และยังมีการนำห่วงเหล็กที่มีความหนาน้อยลงมาใช้ในเครื่องมือจับปลา เพราะห่วงเหล็กที่มีขนาดเล็กลงจะไม่สามารถรับน้ำหนักของปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาฉลามหรือปลาวาฬได้ ในการทดสอบ NOAA พบว่าห่วงเหล็กที่มีความหนาน้อยลงสามารถช่วยลดปริมาณ Bycatch ของปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ถึงร้อยละ 56 ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอสมควร

7. เพิ่มเติมความรู้ให้แก่ประชาชน
     สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เราไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าอุณหภูมิน้ำมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงความลึกระดับกลางเนื่องจากสัญญาณดาวเทียมไม่สามารถบันทึกข้อมูลที่ลึกไปกว่า 7 ฟุตจากผิวน้ำ เราไม่สามารถรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศใต้ทะเลทั้งหมด เพราะเครื่องมือที่เรามีอยู่ขณะนี้สามารถครอบคลุมได้เพียงร้อยละ 10 ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดว่าใต้ทะเลมีสัตว์ประเภทใดอาศัยอยู่บ้าง เพราะล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ทำบันทึกพันธุ์สัตว์น้ำใต้ทะเลสามารถทำบันถึงได้ 190,000 พันธุ์สัตว์น้ำ แต่เรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์น้ำอื่นๆ อีกหลายๆ ล้านพันธุ์ที่เหลือ

     เราสามารถพูดได้เลยว่า เราแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมหาสมุทร ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์จาก University of California ที่ Berkeley กล่าวว่าจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถย่อยน้ำมันดิบได้เป็นผู้ที่ทำให้พวยน้ำมัน (Oil Plume) ที่มีพื้นที่ยาวถึง 22 ไมล์ใต้น้ำที่เกิดขึ้นในตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกเมื่อปีที่แล้วหายไปอย่างน่าประหลาดใจ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ค้านว่าพวยน้ำมันนั้นยังคงอยู่ Larry Mayer ประธานผู้บริหารของ National Academy of Science ซึ่งกำลังศึกษาเกี่ยวกับระบบนิเวศของอ่าวเม็กซิโกหลังเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหล กล่าวว่า หากมีใครตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับมหาสมุทรน้ำลึก หรือคำถามเกี่ยวกับผลกระทบจากน้ำทะเลที่มีต่อชั้นบรรยากาศ หรือคำถามที่เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหอยชนิดต่างๆ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ชัดเจน

     Giora Proskurowski นักสมุทรศาสตร์จาก University of Washington ได้กล่าวว่า การให้สัดส่วนพื้นที่ของมหาสมุทรและแผ่นดินก็ยังเป็นปัญหา แม้ว่าทุกวันนี้เราจะพูดว่าน้ำทะเลมีพื้นที่ถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ทั้งหมดในโลกซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 139 ล้านตารางไมล์ แต่น้ำทะเลมิได้มีเพียงแต่พื้นที่พื้นผิว แต่นำทะเลมีความลึก และปริมาณน้ำทะเลก็มีการเปลี่ยนแปลอยู่เสมอ การศึกษามหาสมุทรต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงมาก การวิจัยครั้งหนึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 5 – 10 วัน และงบประมาณจำนวน 25,000 เหรียญสหรัฐต่อวัน เพียงเพื่อการส่งเครื่องมือไปให้ถึงบริเวณความลึกระดับกลางของมหาสมุทรและศึกษาระดับความเข้มข้นของเกลือและอุณหภูมิของน้ำทะเล

     การเก็บตัวอย่างบนเรือเป็นการศึกษาแบบชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังผลักดันให้มีการศึกษาค้นคว้าที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น หรือให้มีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น Proskurowski, Mayer และนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ อีกกว่าร้อยคนซึ่งได้งบประมาณจำนวน 760 ล้านเหรียญสหรัฐจาก National Science Foundation Ocean Observatories Initiative (OOI) กำลังสร้างไยแก้วเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างมหาสมุทร Pacific และมหาสมุทร Atlantic โดยเครือข่ายจะส่งไฟฟ้าระดับ 200 กิโลวัตตไปยังยานพาหนะ และเครื่องตรวจจับสัญญาณ 49 ชนิดในมหาสมุทร จากนั้นก็ส่งสัญญาณข้อมูลกลับทางไยแก้ว หลายๆ ประเทศเช่น สาธารณะรัฐประชาชนจีน ประเทศเกาหลี และประเทศในทวีปยุโรปหลายๆ ประเทศกำลังเข้าร่วมโครงการสำรวจผ่านไยแก้วดังกล่าว

     งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจมหาสมุทรได้ เงินงบประมาณสำหรับการสำรวจที่องกร NASA มีนั้นสูงกว่างบประมาณที่ National Oceanic and Atmospheric Administration มีอยู่ถึง 900 เท่าตัว เงินงบประมาณจำนวน 387 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการก่อสร้างของหน่วยงาน OOI เป็นเพียง 1 ใน 17 ของงบประมาณที่ James Webb Space Telescope มี O’Dor ผู้ที่กำลังรวบรวมงบประมาณและนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกเพื่อร่วมสร้างระบบโทรศัพท์ใต้ทะเลของ OTN กล่าวว่า เขาปฏิบัติงานอยู่ใน Washington D.C.  เขากำลังริเริ่มโครงการระดับโลกในขณะที่เขาไม่มีงบประมาณสำหรับการเดินทางไปที่ไหนๆ
 
 
 
อ้างอิงข้อมูลจาก